ผมทำงานถึงวันนี้ก็กว่า 40 ปีมาแล้ว ผมมีความเชื่อมาตลอดก็คือ คนเราต้องคิดถูก ถึงจะทำถูก
ฉะนั้น ผมจึงเป็นคนที่คอยสังเกตความคิดของตัวเอง และความคิดของผู้อื่น ซึ่งเกือบทั้งหมดสะท้อนอยู่ในคำพูดของเขาเหล่านั้น ตั้งแต่ชาวบ้าน พนักงาน ผู้บริหาร ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ นักการเมือง นักการตลาด นักวิชาการ เป็นต้น ซึ่งสะท้อนถึงความคิดและความโน้มเอียงเชิงความคิด (Mental Bias) ของแต่ละบุคคล พบว่าความคิดของแต่ละคนมีผลต่ออนาคตของเขา รวมทั้งต่อสุขภาพ ชีวิตครอบครัว ความเป็นอยู่ หรือบางครั้งสะท้อนถึงอายุขัยด้วย
เรื่องความคิดต่ออายุขัยนั้น ผมสังเกตจาก ใครเป็นคนมีความคิดบวก หรือ คิดลบมากกว่ากัน คนที่คิดบวกนั้นมีแนวโน้มที่จะมีสุภาพดีกว่า อายุยืนกว่า คนคิดบวกจะยิ้ม หัวเราะมากกว่า มองโลกในแง่ดีมากกว่า แก้ไขปัญหาของตัวเองได้เร็วและดีกว่า ปรับเปลี่ยนตัวเองง่ายกว่า เป็นต้น
ผมมักจะแนะนำให้สังเกตคนคิดลบโดยดูความถี่ในการไม่สบายของคนผู้นั้น คนคิดลบมักป่วยบ่อย อีกประการหนึ่งก็คือ คนคิดลบมีโอกาสเป็นโรคร้ายมากกว่า และคนคิดลบที่ไม่สบายมีโอกาสทำให้คนรอบข้างพลอยไม่สบายไปด้วย ถ้าอยู่ด้วยกันนานพอ ไม่ใช่เพราะติดเชื้อทางกายแต่เป็นการติดเชื้อทางจิต
คนคิดลบบางคนเหมือนมีกรรม สอนให้คิดบวกอย่างไรก็คิดไม่ได้ และบางคนก็ปฏิเสธว่าตนไม่ได้คิดลบ บางคนเถียงว่าตนคิดบวกเสียด้วยซ้ำ บางคนก็บอกว่าคิดบวกเป็นการหลอกตัวเอง บางคนก็บอกว่าคิดบวกไม่เห็นจะดีตรงไหน เป็นต้น คนเหล่านี้เวลาอยู่ในองค์กรก็จะฉุดให้องค์กรช้าลง แย่ลง ทีละเล็กทีละน้อย แต่ถ้าเป็นคนที่คิดลบกับผู้อื่นก็จะมีผลทำให้คนอื่นแย่ลงอย่างช้าๆ
การคิดบวกหรือคิดลบเป็นพลังงานทางจิตทั้งทางดีและทางไม่ดีที่มีผลต่อผู้ที่คิด ต่อคนอื่น หรือแม้แต่กับองค์กร ผมบริหารและปรับปรุงพัฒนาบริษัทมาหลาย ๆ บริษัท และพบว่าบริษัทที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นคนคิดลบ บริษัทนั้นเจริญยาก บางครั้งถึงขั้นจะเจ๊งเลยก็มีถ้าแก้ไม่ทัน การช่วยแก้ไขก็ทำได้ยากถ้าผู้บริหารยังคิดลบอยู่ เพราะปัญหาก็จะแก้ไม่จบ แม้แต่ตัวไม่อยู่แล้วบางทีเชื้อยังติดอยู่ ยังต้องใช้เวลาฟื้นฟูนาน
หลายคนคงอยากถามว่าแล้วเอาคนคิดลบมาทำงานด้วยทำไม
คำตอบก็คือ คนบางคนตอนหนุ่มสาวก็คิดลบอยู่ แต่ความอยากจะเจริญ อยากจะชนะทำให้ความคิดที่เป็นลบไม่มีผลออกมาในงานมากนัก และไม่ซับซ้อน
แต่พอตำแหน่งงานสูงขึ้น งานเริ่มสับสนยุ่งยากขึ้น และตนก็มีความต้องการความเจริญ และความอยากสำเร็จเริ่มน้อยลงเพราะรู้สึกตัวว่าสบายแล้ว ความคิดลบที่ซ่อนอยู่เริ่มโผล่ รวมทั้งปัญหาสุขภาพมาซ้ำเติม ความกลัวว่าตอนแก่จะไม่มั่นคงก็ยิ่งมากขึ้น
บางคนตั้งแต่เกิดมาได้พกเอาวิบากกรรมเรื่องคิดลบติดตัวมาด้วย
แนะนำอย่างไรก็ไม่ยอมเปลี่ยน แล้วทั้งชีวิตก็ประสบแต่ปัญหาซึ่งเกิดจากการคิดลบ แต่ก็มีบางคนที่แนะนำแล้วก็เปลี่ยนได้เลย เหมือนว่าใช้วิบากกรรมหมดแล้ว และมีศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างมากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
องค์กรที่มีผู้บริหารสูงสุดคิดลบ บริษัทจะก้าวหน้าได้ยาก
ผู้ที่จะเข้าไปช่วยแก้ไขจะต้องใช้พลังบวกมากแต่จะได้ผลน้อย เพราะผู้บริหารสูงระดับนี้และคิดลบด้วย จะไม่ฟังลูกน้อง แต่จะชอบไปฟังจากคนนอกองค์กร หรือไปเข้าสัมมนา หรือไปดูงานมา หรืออ่านอะไร ๆ มาแล้วก็จะมาต่อว่า ว่าลูกน้องไม่สนใจ ไม่ใส่ใจหาความรู้ แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดในเรื่องที่ตนเป็นต้นคิดก็จะหาแพะรับบาปได้อย่างรวดเร็วมาก
คนคิดลบบางคนเกิดจากปมด้อย
คนเหล่านี้มักพยายามหาปมเขื่องให้ตัวเองโดยไปเรียนอะไร ๆ มา หรือไปหาความรู้อะไรมาที่คนอื่นไม่รู้เพื่อจะมาเล่าอวดว่าตนเองรู้มากกว่าคนอื่น ซึ่งผมขอเรียกว่า อัตตาของคนมีปมด้อย
คนคิดลบบางคนใช้วิธีไม่สนใจความคิดและข้อเสนอแนะของผู้อื่น
(รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) บางคนทำเป็นไม่สนใจแต่แล้วแอบเอาไปใช้แบบเงียบ ๆ และไม่อ้างอิงผู้ที่แนะนำเพราะอยากให้เป็นผลงานของตน หัวหน้าบางคนที่ชอบเอาผลงานของลูกน้องไปนำเสนอ และลืมอ้างอิงชื่อลูกน้อง หรือคนที่ให้ความคิด แต่ถ้างานไหนไม่มั่นใจก็จะให้ลูกน้องเสนอเอง
คนคิดลบบางคนจะปฏิเสธที่จะทำในงานที่ตนไม่ชอบ
แต่ถ้าต้องทำก็ทำแบบขอไปที หรือพยายามหาเหตุผลว่าทำไมงานถึงไม่ก้าวหน้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาจากคนอื่น ไม่ใช่จากตน
คนคิดลบส่วนใหญ่จะเลือกคบคน
เลือกที่จะทำงานกับคนนั้นไม่ทำกับคนนี้ แต่ถ้าต้องทำงานด้วยก็มักจะมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเราไม่ชอบเขาหรือเขาไม่ชอบเรา และมักจะหนีปัญหา ไม่สู้ปัญหาเพราะรู้สึกตัวว่าตัวสู้มากแล้ว
คนคิดลบส่วนใหญ่ไม่ค่อยอาสา
แม้แต่อยากทำงานนั้นมากก็ไม่อาสา ต้องให้หัวหน้ามาขอให้ทำ ถ้าไม่สำเร็จจะได้มีข้ออ้างว่าไม่ใช่ตัวเองอยากทำ
คนคิดลบมักจะเห็นปัญหาในโอกาส มากกว่าโอกาสในปัญหา
ไม่ค่อยมีคนอยากมอบหมายงานให้กับคนคิดลบ เพราะคนคิดลบจะสร้างปัญหา ไม่ใช่แก้ปัญหา และถ้าทำอะไรสำเร็จก็จะแสดงความภาคภูมิใจอย่างเกินจริงเพราะกลัวคนอื่นไม่รู้
คนคิดลบจะไม่ค่อยเสี่ยงเพราะเป็นคนที่กลัวความล้มเหลว
เห็นแต่ข้อเสียในสิ่งที่ตนคิดจะทำ กลัวตนเองจะเดือดร้อน ต้องเห็นคนอื่นทำก่อนแล้วดีถึงจะกล้าทำ ฉะนั้นจะไม่ค่อยมีความคิดริเริ่ม หรือถ้ามีก็มักจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ และเก็บไว้ในใจไม่กล้าบอกใคร
ทั้งหมดนี้ ผมเคยเป็นมาเกือบทุกข้อ แต่เนื่องจากเป็นคนพิจารณาตนเองอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้สามารถปรับความคิดหลาย ๆ อย่างของตน และเข้าใจพฤติกรรมของคนคิดลบได้ดี และเหตุผลที่เขียนบทนี้ ก็เพื่อให้คนที่เข้าข่ายที่ผมกล่าวถึง ได้โปรดพิจารณาว่าตนควรจะปรับปรุงตรงไหนบ้าง
วิธีที่จะปรับปรุงก็คือ คิดตรงข้ามและปฏิบัติตรงข้ามกับสิ่งที่ผมเขียนว่าเป็นพฤติกรรมของคนคิดลบ