M = mission : ภารกิจที่ต้องทำ หรือจุดมุ่งหมายที่ต้องบรรลุ
O = Objection : สิ่งที่ต้องทำเพื่อที่จะบรรลุ
P = Policy : หลักที่ยึดเป็นแนวปฏิบัติ
ตั้งแต่เริ่มทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเวลากว่า 30 ปี ผู้เขียนก็มีความคิดและความเชื่อเช่นเดียวกับกลุ่มผู้บริหารหลายๆท่านมาโดยตลอดว่า การที่จะกำหนดนโยบาย หรือทำ Action Plan ของบริษัทนั้น ต้องไปจัดสัมมนาทั้งในและนอกสถานที่
แต่ตลอดมา นโยบายที่เป็นเรื่องของอนาคตที่จากการสัมมนานั้นมักได้มาเป็น List ขอความคิดว่าเราจะต้องทำโน่นทำนี่ในอนาคต และส่วนมากก็มักจะได้ทำจริงเฉพาะบางเรื่องซึ่งพอดีเป็นความสนใจของบางคนเป็นพิเศษ จึงจะมีการติดตามต่อๆไป ส่วนเรื่องอื่นๆก็มักจะลืมกัน สาเหตุก็เพราะเวลาที่คิดว่าจะทำอะไรก็เพียงแต่คิดไม่ได้คิดให้ครบถ้วน(Think Through) ว่าถ้าจะให้เกิดเป็นรูปธรรมได้ต้องทำอะไรหรือเตรียมอะไรกันบ้าง พูดง่ายๆก็คือ ไม่ค่อยกำหนด Who? What? Why? When? Where? How? How Much? How Many? เมื่อกลับมาถึงที่ทำงาน ก็มีงานประจำที่ต้องทำจึงมักจะลืมเรื่องต่าง ๆ ที่คุยกันไว้ในการสัมมนา
การสัมมนาอีกประเภทหนึ่ง ก็คือ การสัมมนาแก้ปัญหาของหน่วยงานหรือองค์กรซึ่งก็มักจะได้ List ของหัวข้อปัญหา อย่างเช่น
ปัญหาไม่มีคนแก้ไข
พนักงานขาดขวัญและกำลังใจ
หน่วยงานต่างๆสื่อสารกันไม่เพียงพอ
ผู้ใหญ่ลำเอียง
สินค้าส่งมาไม่ตรงเวลา
พนักงานไม่ได้รับการอบรมอย่างเพียงพอ ทำให้ทำงานผิดพลาด
ฝ่ายบุคคลรับคนให้ไม่ทัน
ฝ่ายบุคคลรับคนคุณภาพไม่ดีเข้าทำงาน
ผู้บริหารไม่ให้ความเป็นธรรม
รายได้พนักงานน้อยเกินไป
…………………………………ฯลฯ…………………………….…
ซึ่งหลายปัญหาที่เอ่ยขึ้นมานั้นเป็น ปัญหาโลกแตก ทุกคนก็ช่วยกันแจ้งปัญหา และผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมก็รับทราบและรับปากว่าจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไร แต่เนื่องจากหลายๆปัญหา เป็นเรื่องปกติในการทำงานแม้ว่าจะแก้ไขปัญหาในปีนี้ อย่างไรก็ตามปีหน้าปัญหาเดียวกันนี้ก็ยังคงอยู่เช่นเดิมและถ้าปีถัดไปสัมมนากันอีก ก็จะเริ่มรู้สึกว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้หรือถ้าได้ก็ไม่ครบ เพราะ Approach ปัญหาอย่างไม่เป็นระบบ
นักวิชาการที่จัดการสัมมนา หรือหลักสูตรอบรมน่าจะเข้าใจได้ดีเพราะทุกครั้งที่จัดให้แต่ละกลุ่ม ปัญหาที่คล้าย ๆ กันก็จะมีในแต่ละกลุ่ม ปัญหาที่คล้าย ๆ กันก็จะมีในแต่ละกลุ่มบางแห่งมากบางแห่งน้อย ในฐานะนักวิชาการหรือนักจัดฝึกอบรมก็จะรับทราบความแตกต่างชองแต่ละองค์กร หรือแต่ละกลุ่มทีเราไปจัดให้เท่านั้นซึ่งเป็นความรู้เฉพาะสำหรับนักวิชาการเหล่านั้น และนักวะชาการก็พยายามจะถ่ายทอดความคิดที่ดี ๆ หรือ สิ่งที่เรียนมาให้แก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาแต่การที่จะเล็งเห็นว่าความรู้ที่ถ่ายทอดนั้นจะใช้ได้หรือไม่ในองค์กรหรือผู้เข้าร่วมสัมมนาจะยอมรับเข้าใจหรือนำไปปฏิบัติอย่างไรนั้นก็คงทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะนักจัดฝึกอบรมมักไม่มีลูกตาม หรือการติดตาม(Follow Up) และไม่สามารถไปทดลองหรือทดสอบปฏิบัติในหน่วยงานนั้นจริงๆได้
นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นหรือประสบการณ์ที่จะช่วยจัดการกับปัญหาให้ประสพผลจริงๆก็อาจมีน้อย และปัญหาบางอย่างก็ไม่สามารถปัดเป่าให้หายไปได้ด้วยการอบรม หรือการสัมมนาเพียงอย่างเดียว ผู้เข้าร่วมอบรมหรือสัมมนาแต่ละคนเองก็จังมีอุปนิสัย ความนึกคิด พื้นฐานทางครอบครัว รวมทั้งจิตใจที่แตกต่างกันด้วย หรือถึงแม้จะแก้ปัญหาได้บางเรื่องก็ไม่ได้ทำให้องค์กรนั้น
บางองค์กรก็อาจไม่เน้นการอบรมหือสัมมนาแต่เน้นการสั่งงาน ตรวจงาน คุมงาน โดยผู้บริหารระดับสูง โดยเจ้าของหรือผู้บริหารสูงสุดเป็นผู้ออกความคิดแต่เพียงผู้เดียว คนอื่น ๆ ในองค์การเป็นเพียงผู้ปฏิบัติ พูดง่าย ๆ ว่าองค์กรนี้มีพระเอกคนเดียว ใครทำถูกใจก็ตบรางวัล ใครทำไม่ถูกใจ หรือ ไม่ทำตามคำสั่งก็ทำโทษหรือย้าย (คล้ายกับการปกครองแบบเผด็จการ)
อีกวิธีหนึ่งซึ่งก็เหมาะสมกับคนที่สนใจแต่ตัวเลข ก็คือให้แต่ละหน่วยงานเสนอเป้าเป็นตัวเลข ถ้าตั้งตัวเลขขายต่ำไปก็บอกให้เพิ่มตัวเลขค่าใช้จ่าย กำไรน้อยไปก็ให้เพิ่มกำไร นี่ก็เหมาะกับผู้บริหารที่สนใจแต่ตัวเลข เห็นตัวเลขมาก่อนคน และผู้ใต้บังคับบัญชาก็ทำตามเป้าหมายที่ตั้งขึ้นและคอยรายงานตัวเลขให้ผู้บริหารนั้นๆทราบ
จากที่ได้มีโอกาสรับรู้วิธีการต่างๆ เหล่านี้มาร่วม 30 ปี ผู้เขียนจึงภามตนเองขึ้นมาว่าถ้าจะทำให้แผนงานต่างๆที่เราต้องการสัมฤทธิผล จะต้องทำอย่างไร
จากความคิดของคณะกรรมการบริหาร ICC สรุปว่าต้องมี Mission Objective และ Policy
การจัดตั้งองค์กร ต้องมี Mission ว่าจะตั้งขึ้นมามีพันธกิจอะไรผลิตภัณฑ์ในองค์กรที่นำมาจำหน่ายก็ย่อมมี Mission นั้น ๆ ว่ามีบทบาทและภารกิจในองค์กรอย่างไร
MISSION (ภารกิจ หน้าที่/การมอบหมาย)
Mission หลักขององค์กรธุรกิจแทบทุกแห่งก็คือ ทำกำไร ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจจัดจำหน่าย การผลิต หรือการบริการ ถ้าเป็นองค์การราชการ Mission อาจเป็นการพัฒนาชุมชน หรือปกป้องประชาชน เช่น ตำรวจ หรือช่วยเหลือชุมชนเฉพาะเรื่อง ฯลฯ ฉะนั้น การเขียน Mission Statement นั้นสำคัญมาก และต้องเป็น Mission ที่ผู้ที่อยู่ในองค์การสามารุจำได้ง่าย ชัดเจน ตรงจุด หัวข้อ Mission ขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์หรือผลิตภัณฑ์ในองค์การอาจมีมากกว่าหนึ่งข้อได้ แต่ไม่ควรมีมากจนผู้ที่อยู่ในองค์กรจำไม่ได้ เช่น
ถ้า Mission คือทำกำไร 10 ล้าน ทุก ๆ คนในองค์กรก็ต้องจำได้ว่าเราตั้งกันไว้10 ล้าน
สิ่งที่สำคัญของ Mission ก็คือ ผนักงานทุกคนและผู้บริหารในองค์กรจำได้ง่าย ๆ ระลึกถึงได้ตลอดเวลาจำได้ง่าย ๆ ระลึกถึงได้ตลอดเวลา
OBJECTIVE (จุดมุ่งหมาย / วัตถุประสงค์)
การที่คนเราเราจะทำอะไรให้สำเร็จ จะต้องตั้ง Objective คนที่ไม่ตั้ง Objective ในการทำงานหรือในชีวิตส่วนตัว การงานหรือชีวิตมักจะไม่ค่อยมุดมุ่งหมาย หรือถ้าตั้ง Objective มากไป Objective แต่ละข้อก็อาจจะได้ผลที่ไม่สูงหรือดีเท่าที่ควร เพราะทำให้ความคิดของผู้ตั้ง Objective กระจายให้น้ำหนักในแต่ละ Objective ไม่มากพอ เช่น ถ้าเราต้องการเรียนหนังสือให้ได้เกรดดี ๆ ทุกวิชา จำนวนวิชาที่ลงเรียนในแต่ละเทอมอาจจะต้องน้อยลง แต่ถ้าเราอยากจะเรียนหนังสือให้จบเร็ว ๆ และคะแนนพอผ่านเราอาจเลือกเรียนหลาย ๆ วิชาในเทอมนั้นก็ได้ ฉะนั้นความพอเหมาะของจำนวน และการให้น้ำหนักในแต่ละ มีความสำคัญมาก ฉะนั้นความพอเหมาะของจำนวน Objective และการให้น้ำหนักในแต่ละ Objective มีความสำคัญมาก
POLICY (นโยบาย)
ในแต่ละปีมีหลาย ๆ คนที่กำหนด Policy ให้กับตนเองในปีนั้น ๆ เช่น ปีนี้จะเลิกสูบบุหรี่ ปีนี้จะเริ่มรับประทานมังสวิรัติทุกวันศุกร์ ปีนี้จะไม่นินทาคน ปีนี้จะสนใจการเรียนมากขึ้น หรือปีนี้จะนอนแต่หัวค่ำ ฯลฯ ตัวอย่างข้างต้นนี้บางคนอาจเรียกว่า Resolution ก็ได้ แต่ในที่นี้ ผู้เขียน จะเรียกว่าเป็น Policy ส่วนตัวอย่างของการเป็น Policy ในรูปขององค์กร ก็อาจจะเป็นเรื่องเหล่านี้
พัฒนาบุคลากรเรื่องความรู้ทางภาษา ญี่ปุ่น
ดูแลขวัญกำลังใจให้พนักงานมากขึ้น
ปรับปรุงภาชนะหีบห่อของสินค้าให้ดูดีขึ้น เพื่อให้สะดุดตาผู้บริโภค และเพิ่มคุณค่าของสินค้า
ให้ความสนใจด้านค่าจ่ายมากขึ้น เพิ่มพัฒนาผลกำไร
ห้ามสูบบุหรี่ในสำนักงาน
พัฒนาระบบสารสนเทศในบริษัทให้ทันต่อการแข่งขันกับคู่แข่ง
ฝึกอบรมพัฒนาพนักงานเพื่อเพิ่มผลผลิตอย่างเป็นรูปธรรม
ลดการสูญเสียในการผลิต
ช่วยเหลือผู้ที่เดือนร้อนในท้องถิ่นที่โรงงานตั้งอยู่
ทำการกุศลให้มากขึ้น เพราะองค์กรมีกำไรมากพอแล้ว
ช่วยเหลือพนักงานขององค์กรที่ประสบปัญหาในชีวิตมากขึ้น