การตลาดทำไมทำยากกว่าก่อนวิกฤติการณ์
ผมถามตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่าก่อนวิกฤติการณ์ปี 2540 การทำการตลาดทำไมถึงง่ายกว่าปัจจุบันมาก และผมก็มีคำตอบให้กับตนเองมานานพอควรแล้ว และขอแบ่งปันความคิดนี้ให้กับผู้อ่านกรุงเทพธุรกิจ Biz Week ดังนี้
ก่อนวิกฤติการณ์
- ก่อนวิกฤติการณ์ การกู้เงินจากสถาบันการเงินและจากต่างประเทศได้ง่ายมากกว่า ถึงแม้ดอกเบี้ยจะสูงกว่าในปัจจุบันแต่คนที่กู้เงินในยุคก่อนวิกฤติการณ์ ส่วนหนึ่งคือไม่ได้สนใจเรื่องดอกเบี้ยและเขาขอให้มีเงินมาใช้จ่ายเงินเดือน ชำระหนี้ Supplier ในขณะที่ผลประกอบการอาจจะขาดทุนอยู่ หรือบางคนก็จะเอาเงินไปใช้ส่วนตัวหรือไป ลงทุนผิดประเภท ฉะนั้นธุรกิจที่ขาดทุนก็ยังดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ ก่อนวิกฤติการณ์โดยไม่ต้องมีการพัฒนาเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผล
- คู่แข่งที่เก่งในตลาดแต่มีทุนน้อยก็ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งใหญ่ที่ไม่มีประสิทธิ ภาพและขาดทุนได้ เพราะคู่แข่งใหญ่มีเงินมาสนับสนุนได้ตลอด
- ความสนใจในธุรกิจใหม่มีน้อย เพราะนักธุรกิจมีความพอใจในธุรกิจเดิม และ นักธุรกิจหน้าใหม่ยังไม่เกิด ยังเป็นลูกจ้างหรือผู้บริหารอยู่
หลังวิกฤติการณ์
- นักธุรกิจที่ไม่สนใจในการทำธุรกิจอย่างถูกต้องตามทำนองครองธรรมอยู่ไม่ได้ เพราะมีสถาบันการเงินคอยทวงหนี้ ตัวสถาบันการเงินก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ด้วย ทำให้การเงินไม่สะพัด นักธุรกิจประเภทสุขเอาเผากินอยู่ไม่ได้อีกต่อไป
- บริษัทที่ยังคงอยู่ได้และแข็งแรงก็มีการพัฒนาวิธีการทำการตลาด ใช้จ่ายอย่างมี เหตุมีผล ไม่ฟุ่มเฟือยเหมือนอย่างแต่ก่อน ทำให้มีการต่อสู้กันในเชิงการตลาดที่เข้มข้นขึ้น บริษัทที่แข็งแรงต้องขยายเครือข่าย ขยายประเภทสินค้า ขยายสินค้าเพื่อให้ตนเป็นเจ้าตลาดให้ได้
- การใช้จ่ายเงินถูกควบคุมโดยสถาบันการเงินอย่างเข้มงวด เงินสุรุ่ยสุร่ายที่ทำให้ ธุรกิจสะพัดมีน้อยกว่าก่อนวิกฤติการณ์มาก ถึงแม้ดอกเบี้ยจะต่ำ
โชคดีเป็นของนักธุรกิจบ้านจัดสรรและรถยนต์ หรือของใช้คงทน (Durable Goods) คือ ดอกเบี้ยที่ลดลงและรัฐบาลลดภาษีการซื้อขายบ้าน
ผู้บริหารซึ่งอาจจะตกงานหรือไม่เห็นอนาคตในงานเดิม เริ่มออกมาเป็นเจ้าของกิจการและเริ่มต้นจากศูนย์หรือเกือบศูนย์ ซึ่งเจ้าของกิจการมีความมุ่งมั่นในการขยายกิจการสูง ทำให้นวัตกรรมเชิงการตลาดเกิดขึ้นมากมาย ทั้งจากนักธุรกิจหน้าใหม่และนักธุรกิจหน้าเก่าที่เป็นยักษ์ใหญ่ การแข่งขันเช่นนี้ทำให้การตลาดทำงานยากกว่าแต่ก่อนมาก ใครช้า ใครไม่มีความคิดใหม่ๆ จะถดถอยอย่างรวดเร็ว
การทำการตลาดแบบมุ่งเป้า มีความสำคัญมากเพราะค่าการตลาดสูงและความ แม่นยำในเชิงการตลาดต้องมีมากกว่าแต่ก่อน จะมัวลองผิดลองถูกไม่ได้อีกต่อไป ต้องมีความคิดใหม่ๆ ต้องประเมิน หรือทดสอบว่านวัตกรรมนั้นจะส่งผลต่อความสำเร็จตาม เป้าหมายได้หรือไม่ และต้องติดตามให้ความคิดใหม่ๆ นั้นส่งผลตามที่ตั้งเป้าให้ได้ ถึงจะทำให้บริษัทจะขยายตัวต่อไปได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ – บทความการตลาด
วันที่เขียน 02/02/2005 วันที่ตีพิมพ์ 02/02/2005
บันทึกบทความเมื่อ 14/07/2006 โดย webmaster
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 14/07/2006 โดย webmaster