การคิดพิจารณา ไตร่ตรอง
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้ผู้ที่อ่านหรือฟังเทศน์พระธรรมคำสอนว่า อย่าพึ่งเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์จนกว่าจะพิจารณาจนเกิดความเข้าใจและเห็นด้วยจึงค่อยรับเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ในจิตใจ การที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำแบบนี้ก็เพราะว่าถ้าเลื่อมใสในพุทธศาสนา แต่ขาดความเข้าใจในแก่นแท้ของธรรมะแล้ว ก็จะไม่สามารถทำให้ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง หรืออาจจะใช้ธรรมะในทางที่ผิดก็เป็นได้ นับเป็นกุศโลบายของพระพุทธเจ้าที่จะทำให้พุทธบริษัทได้ฝึกคิด พิจารณา ไตร่ตรอง ทุกๆ สิ่งที่เข้ามากระทบกับตัวเรารวมทั้งพระธรรมของพระองค์ด้วย
การพิจารณาไตร่ตรองก็คล้ายกับการทบทวน แต่ส่วนมากการทบทวนมักจะเป็นเรื่องที่ตนเองได้กระทำ หรือมีประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วในอดีตว่าผิดชอบชั่วดีอย่างไร แต่การพิจารณาไตร่ตรองนั้นจะมีความหมายกว้างกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่เกิดกับตัวเราเองแต่เป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่เรารับรู้ และการพิจารณานั้นถ้าทำความเข้าใจแล้วจะช่วยเพิ่มทักษะในการคิด และเป็นการยกระดับความสามารถในการคิด รวมทั้งยกระดับจิตของผู้ที่พิจารณาให้สูงขึ้นด้วย
คนจำนวนหนึ่งพอมีเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองก็มักจะคิดหรือพูดว่า เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเรา อย่าไปคิดเลยเสียสมอง เรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคนอื่นจะต้องไปคิดแทนเขาทำไม เรื่องนี้ไม่อยากคิดเพราะคิดแล้วกลัว อย่างเช่นเรื่องความตาย เรื่องนรก ฯลฯ
ผู้ที่อ่านหรือเรียนเรื่องพุทธประวัติคงทราบว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงตัดสินพระทัยออกผนวชก็เพราะพระองค์ได้พิจารณาเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงสอนว่า คนต้องคิดเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เข้าไว้จะได้เข้าใจธรรมะได้ง่ายขึ้น เข้าใจความไม่แน่นอนของชีวิต ก็คือ อนิจจัง เพราะจะทำให้คนได้ลดความเป็นตัวตน (อัตตา) ลงไป เพราะความเป็นตัวตนของคนทำให้สังคมไม่สงบสุข คำว่าตัวตนนั้นผมมาพิจารณาเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Self และคำว่าตัวตนกับคำว่าเห็นแก่ตัวนั้นคล้ายกัน (Selfish) และคำว่า อนัตตา ก็จะใกล้กับคำภาษาอังกฤษว่า Selfless
พระพุทธองค์ยังได้พิจารณาว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตต้องประกอบด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ความขยันหมั่นเพียร มีความเอาใจใส่และรักงานในสิ่งที่ทำ และรู้จักทบทวนพิจารณาในสิ่งที่ตนเองทำ ซึ่งก็คือ อิทธิบาท 4 ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ซึ่งเกิดจากการพิจารณาของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นส่วนของการตรัสรู้ คือทรงรู้แจ้งด้วยพระองค์เอง
คนส่วนมากคงทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง หลังจากที่ได้ไปร่ำเรียนกับเกจิอาจารย์ ฤาษี ดาบส หลายคนในสมัยพุทธกาล และพบว่าความรู้ที่ได้ ร่ำเรียนมาทั้งหมดยังไม่สามารถทำให้พระองค์เข้าถึงการหลุดพ้นได้ จนถึงวันที่พระองค์ตรัสรู้ ซึ่งถ้าจะพิจารณาก็คือ พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนตัวของพระองค์เองโดยการสังเกตจนพบและสรุปได้ อริยสัจ 4 ก็คือความจริงอย่างประเสริฐ ได้แก่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ทุกข์ ความยากลำบากที่เกิดจากความไม่แน่นอน เกิดดับสลาย
สมุทัย ต้นตอของการเกิดทุกข์
นิโรธ การดับทุกข์
มรรค หนทางหรือข้อปฏิบัติสู่การดับทุกข์
ถ้าดูให้ดีแล้วพอสรุปได้ว่าพระพุทธเจ้าได้พิจารณาด้วยพระองค์เอง และสรุปด้วยพระองค์ว่า อริยสัจ 4 นี่แหละคือ หนทางแห่งการดับทุกข์ และพระองค์ก็สรุปต่อไปอีกว่า การดับทุกข์นั้นก็คือ การนิพพาน นั่นเอง ทั้งหมดนี้ผมสรุปได้ว่า พระพุทธองค์ทรงสอนพระพุทธองค์เอง และพระพุทธองค์ก็ได้ทรงสอนพระสาวกของพระองค์ให้รู้จักพิจารณาทุกสิ่งที่พบเห็น ตั้งแต่พิจารณาอาหารที่ได้จากการบิณฑบาต การพิจารณาอยู่ตลอดเวลาก็เท่ากับการสอนตัวเองและทบทวนตัวเองอยู่ตลอดเวลา
พ่อแม่ส่วนใหญ่เวลาส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ก็หวังว่าจะให้ลูกได้รับความรู้ เพื่อกลับมาจะมีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพ ร่ำรวยเป็นใหญ่เป็นโต แต่คงมีพ่อแม่จำนวนน้อยที่ส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเพื่อหวังให้ลูกเป็นคนที่คิดดี คิดเป็นหรือเป็นนักปราชญ์ (Philosopher) ซึ่งในอดีตมีนักปราชญ์มากกว่าสมัยนี้มาก เพราะสมัยนี้คนส่วนใหญ่มุ่งไปที่การแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ กันทั้งนั้นเพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่ทำให้มีความสุขในชีวิต ซึ่งเป็นความสุขในแบบโลกียธรรม คนส่วนใหญ่ที่เป็นนักปราชญ์ก็มักจะเป็นคนที่ไม่ได้เน้นการแสวงหาสิ่งที่เป็นวัตถุนิยม แต่ส่วนใหญ่คงเน้นไปทางด้าน จิตนิยม มากกว่า หรือในศาสตร์ต่างๆ ที่ยังค้นหาไม่พบ และจากที่ผมได้พิจารณาด้วยตัวของผมเองพอสรุปกับตนเองได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ที่มา นสพ. กรุงเทพธุรกิจ : คอลัมน์ 20 CEOs 20 IDEAs
วันที่เขียน 01/06/2008 วันที่ตีพิมพ์ 15/10/2008
บันทึกบทความเมื่อ 15/10/2008 10:24:13 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 15/10/2551 10:25:10 โดย Narin