คนเราไม่ค่อยได้ใช้ความคิดสักเท่าไร
จากการสังเกตผมมีความรู้สึกว่าคนส่วนมากไม่ค่อยได้ใช้ความคิดพิจารณา ไตร่ตรองในสิ่งต่างๆ ที่ตนทำอยู่ หรือเป็นอยู่ และคนเป็นจำนวนมากอยู่เหมือนกันที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนที่ไม่ค่อยใช้ความคิด แต่คนที่มีคนมาบอกว่าตนไม่ค่อยใช้ความคิดก็มักจะเถียงว่า ตนเองที่จริงแล้วเป็นคนที่คิดอยู่เหมือนกัน หรือบางคนก็ชอบพูดว่าจะคิดไปทำไมเปล่าประโยชน์ หรือคิดไปก็กลุ้มใจ คิดไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ คิดไปก็เสียเวลา คิดแล้วเศร้า เป็นต้น
การที่คนเราไม่ค่อยคิดหรือที่เรียกกันว่า ใช้ความคิด เกิดจากสาเหตุหลายๆ ประการ ซึ่งผมพอจะสรุปหัวข้อหลักๆ ได้ดังนี้
- ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในปัจจุบันมีมากมาย ทำให้คนเราไม่ต้องใช้ความคิดในการที่จะทำอะไร เวลาต้องการอะไรสักอย่างก็ไปเอาหนังสือมาอ่าน หรือเข้าไป search ใน Internet หรือถามเอาจากคนที่รู้เพราะเราอยู่ในยุคของข้อมูลข่าวสาร
- พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ไม่ค่อยสอนให้ลูกๆ คิด ถ้าจะคิดเป็นหรือไม่เป็นมักขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะตัวพ่อแม่เองก็ไม่ค่อยได้ใช้ความคิดเหมือนกัน พ่อแม่สมัยนี้เน้นไปทางแนะนำ ชี้แนะ ชี้นำ หรือสั่ง และสนใจที่จะให้ลูกได้ความรู้จากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ค่อยได้เน้นเรื่องความคิด หรือวิธีการคิดมากสักเท่าไรเลย
- เนื่องจากพ่อแม่จำนวนมากก็เป็นคนที่ไม่ใช้ความคิดอยู่แล้ว ก็ไม่เข้าใจหรือไม่สนับสนุนการที่ลูกจะเป็นคนช่างคิดด้วยคำพูดที่ว่า
- อย่าเอาแต่คิดทำซะบ้าง
- คิดแล้วต้องทำด้วยนะ
- อย่าคิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้
- อย่าคิด (ฝัน) อะไรลมๆ แล้งๆ
- อย่าเสียเวลาคิดเลย ไม่มีประโยชน์ ฯลฯ
ความคิดหรือคำพูดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นยิ่งเป็นการบั่นทอนความสามารถในการคิดของลูก
- การศึกษาในปัจจุบันก็ไม่ค่อยได้เน้นการใช้ความคิด เพราะไปเน้นเรื่องการให้ความรู้ ข้อมูล ข่าวสารมากกว่าเพราะความรู้และข้อมูลในสมัยนี้มีมากเหลือล้น การฝึกสอนให้นักเรียนนักศึกษาใช้ความคิดมีแต่จะน้อยลงๆ ไป
- สิ่งแวดล้อม สังคม และความเป็นอยู่ก็ไม่เอื้ออำนวยให้คนเราใช้ความคิด เช่นการดูโทรทัศน์ การเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ การดูหนังดูละคร ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอะไรที่สนับสนุนให้คนใช้ความคิด เป็นแค่ความบันเทิง และเมื่อคนติดกับการดูโทรทัศน์ การเล่นเกมส์ เวลาที่จะใช้ในการคิดก็ลดลงจนใกล้สูญ รวมทั้งอาชีพของคนสมัยนี้ที่ต้องมีความเร่งรัดมากขึ้นด้วย แค่ทำให้เสร็จตามที่ได้รับมอบหมายก็ดีแล้ว
ที่กล่าวมานี้ก็คือข้อสรุปว่าทำไมคนถึงคิดน้อย แต่ถ้าสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานและมีฐานะดี เกือบทั้งหมดเป็นคนช่างคิดทั้งสิ้น และกลุ่มที่สำเร็จมากๆ มักจะเป็นกลุ่มที่คิดบวกกับตัวเอง กับผู้อื่น และกับสถานการณ์ที่ตนประสบ คนที่คิดลบถึงแม้จะเป็นคนชอบคิด ก็มักจะกลายเป็นคนคิดมาก คิดในเรื่องที่บั่นทอนศักยภาพของตนเอง แต่คนที่คิดบวกก็จะคิดว่าตนเองจะทำอย่างไรให้ตนเองประสบความสำเร็จ ค้นคิดหรือเสาะหาความคิดใหม่ๆ หรือหลักคิดดีๆ ที่ทำให้ตนเองมีศักยภาพในการดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น
ผมเป็นคนที่มีความโชคดีเพราะคุณพ่อผมเป็นคนที่คิดบวก และได้แนะนำให้ผมตั้งแต่เล็กเลยว่าให้เป็นคนที่หมั่นทบทวนตนเอง และคุณพ่อบอกว่าคุณพ่อจะทบทวนตนเองก่อนนอนเสมอว่า วันนี้ทำอะไรถูกทำอะไรผิด ทำอะไรดีทำอะไรไม่ดี และตอบตนเองว่าพรุ่งนี้จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร และยังเป็นคนที่คิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่คิดแต่เรื่องที่สร้างความบันเทิงให้กับตนเอง แต่เป็นการคิดอยู่ตลอดเวลาที่จะทำให้ตนเองทำอะไรสำเร็จ หรือทำให้องค์กรที่ตนเองรับผิดชอบประสบความสำเร็จ ผมเลยเป็นคนช่างคิด ช่างสังเกตุตามคุณพ่อ แต่ช่วงเด็กๆ โทรทัศน์ก็เป็นสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจในเรื่องของความคิดไปมาก บวกกับเรื่องการคบเพื่อนที่อาจจะไม่ใช่คนช่างคิด หรือช่างคิดแต่ค่อนไปทางคิดลบ แต่หลังจากที่มีความเข้าใจเรื่องการคิดบวกแล้วทำให้การใช้ความคิด
นั้นมีมากขึ้นอย่างมาก กอรปกับการที่ต้องแนะนำผู้ใต้บังคับบัญชา สอนนักศึกษาและเขียนหนังสือก็ยิ่งทำให้ความคิดนั้นแตกฉาน แตกแขนงไปมากขึ้น
การที่จะฝึกใช้ความคิดต้องเริ่มจากการที่มีความตั้งใจว่าจะเริ่มฝึกคิด และเชื่อว่าการคิดนั้นจะมีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่นและต่อสังคม และต้องเชื่ออีกว่าเราเป็นคนที่คิดได้คิดเป็น (บางคนชอบพูดกับตนเองหรือกับผู้อื่นอยู่เสมอว่า ตัวเองเป็นคนที่คิดไม่เป็นและพูดอย่างนี้บ่อยๆ แล้วเมื่อไรจะคิดเป็น?) และต้องให้เวลาในแต่ละวันกับการคิด เช่นมีเวลาเงียบของตนเองสักครึ่งชั่วโมง หรือบางคนก็อาจจะใช้วิธีคิดทุกเวลาที่มีโอกาส เช่น ขับรถ เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ฯลฯ แล้วต้องตั้งโจทย์ขึ้นมาไว้อยู่หลายๆ โจทย์ว่าเราต้องการคิดต้องการทำอะไรเพื่อให้ประสบผลสำเร็จกับตัวเอง กับการงานหรือกับองค์กร และถ้าตั้งไว้อย่างมั่นใจมั่นคงแล้ว เวลาคิดคำตอบก็อาจจะผลุดขึ้นมาได้ วิธีหนึ่งที่ผมใช้ก็คือ โจทย์ข้อไหนที่คิดไม่ออกให้นำมาคิดก่อนเข้านอน คิดจนหลับไปเลยแล้วอาจจะตื่นขึ้นมาด้วยคำตอบ นี่เป็นเทคนิควิธีทำให้จิตใต้สำนึกซึ่งไม่เคยหลับของเราช่วยคิดให้
การศึกษาในปัจจุบันก็ให้ความสำคัญกับการฝึกคิดของนักเรียนน้อยลง เช่นไม่มีสอนให้คิดเลขในใจในบางสถาบัน เป็นต้น จะสอนให้รู้ สอนให้จำและท่องมากกว่าแม้แต่ในมหาวิทยาลัยการสอนให้ทำความเข้าใจก็คือ การสอนให้คิดเพราะต้องคิดก่อนถึงเข้าใจ แต่ครูผู้สอนมักอธิบายวิธีทำวิธีคิดให้เลยโดยไม่ให้โอกาสนักเรียนนักศึกษาได้มีโอกาสฝึกคิดก่อน และถ้าข้อสอบที่ออกมาก็ออกมาตามที่สอนเอาไว้ นักเรียนก็ได้แต่จำวิธีที่ครูแนะนำมาตอบข้อสอบเท่านั้นเอง และยิ่งเป็นข้อสอบปรนัยด้วยก็ยิ่งเพิ่มความสามารถในการเดาเข้าไปอีก
แม้แต่เกมส์โชว์ที่มีในโทรทัศน์ในปัจจุบันก็มักไม่ค่อยมีการตอบคำถามที่ ต้องใช้ความคิด มีแต่คำถามที่ต้องใช้ความรู้ ความจำ หรือการเดา เพราะถ้าเป็นเกมส์ที่ใช้ความคิดก็อาจจะไม่ได้รับความนิยม
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เขียนเพื่อที่จะจุดประกายให้คนเราช่วยทบทวนตนเองว่า เราเป็นคนที่ใช้ความคิดของเราเองมากน้อยแค่ไหน และประโยชน์ของการคิด มีอย่างไรบ้าง !
ที่มา นสพ. กรุงเทพธุรกิจ : คอลัมน์ 20 CEOs 20 IDEAs
วันที่เขียน 01/05/2008 วันที่ตีพิมพ์ 15/10/2008
บันทึกบทความเมื่อ 15/10/2008 10:15:25 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 15/10/2008 10:15:25 โดย Narin