คนไทยต้องสู้
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยได้ยินเลยว่ามีใครพูดเรื่องของความเป็นชาตินิยม ผมลองพิจารณาว่าในยุคนี้คนไทยไม่พูดคำว่า ชาตินิยม เพราะว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามชูประเด็นว่าการเป็นชาตินิยมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องโบราณไม่ทันสมัยเพราะเสมือนเป็นการปิดประเทศ หรือไม่สนใจในการพัฒนาประเทศสู่ความเป็นสากล หรือคำว่า Globalization ซึ่งก็เป็นคำที่ต่างชาติได้นำมาแนะนำในประเทศไทย และเป็นที่ยอมรับของปัญญาชนและนักวิชาการว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เหมาะสม ผมก็ไม่ปฏิเสธว่า Globalization เป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ผู้บริหารประเทศ ผู้บริหารองค์กร และนักวิชาการน่าจะพิจารณาด้วยว่าควรจะ Globalization อย่างไรถึงจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและเศรษฐกิจไทยจริงๆ
การที่คนไทยสนใจเรื่อง Globalization รวมทั้งได้มีความคิดว่าการปิดประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะเป็นการทำให้ประเทศขาดการพัฒนา ประเทศต่างๆ ที่เป็นตัวอย่างของการปิดประเทศก็ได้แก่ ญี่ปุ่นก่อนสมัยเมจิ, พม่าสมัยรัฐบาลทหาร, เขมรสมัยพลพต, ประเทศจีนสมัยเหมาเจ๋อตุง ฯลฯ ซึ่งประเทศที่ปิดประเทศเหล่านี้นั้นส่วนใหญ่จะเน้นชูความเป็น “ชาตินิยม” ผมก็เห็นว่าการเปิดประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ดีแต่การเป็นชาตินิยมก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน ซึ่งเดี๋ยวนี้ในประเทศญี่ปุ่นก็เปิดประเทศมานานแล้วและคนของเขา องค์กรของเขาก็ยังมีความเป็นชาตินิยมสูงอยู่ ประเทศเกาหลีก็เช่นเดียวกัน แต่ชาติตะวันตกไม่ชอบเพราะทำให้ประเทศของเขาทำการค้าในประเทศที่เป็นชาตินิยมได้ยาก แต่เนื่องจากคนไทยเป็นคนว่าง่าย ไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตนเองเท่าไร และยังมีความเคารพนับถือชาวต่างประเทศอยู่เป็นทุน เพราะหลายๆ คนได้เรียนในประเทศตะวันตกมาก็ย่อมรับเอาการสั่งสอนหรือนิยมในความคิดของเขามาด้วย
คนที่ไปเรียนในซีกโลกตะวันตกย่อมต้องนิยมในความคิดหรือค่านิยมตะวันตกไม่มากก็น้อย และส่วนใหญ่ก็จะชื่นชมในสิ่งที่เรียนรู้มา รวมทั้งสถาบันที่เลื่องชื่อที่ตนได้มีโอกาสไปเรียนมาและมักจะเอาเรื่องดีๆ ที่ได้ร่ำเรียน มาสอน มาเล่าให้คนที่ไม่ได้มีโอกาสไปเรียนฟังว่า สิ่งที่เราร่ำเรียนมานั้นดีอย่างไร คนเหล่านี้ไม่ได้พิจารณาเลยว่าสิ่งที่เรียนมา รู้เห็นมาในต่างประเทศนั้นเหมาะสมที่จะเอามาใช้ในประเทศไทยของเราหรือไม่อย่างไร เพราะหลายๆ อย่างเช่น วัฒนธรรมหรือสภาพแวดล้อมและเศรษฐกิจของเรากับของเขานั้นต่างกัน อะไรที่ควรนำมาใช้ อะไรที่ไม่ควรนำมาใช้ เราไม่ค่อยได้แยกแยะมากเท่าที่ควร เราชอบลอกเลียบแบบมาทั้งดุ้นเพราะไม่ค่อยต้องใช้ความคิด แต่หลายคนยังไม่ยอมรับ กลับยืนยันว่าเป็นความคิดของตนเอง
เวลาไปดูงานต่างประเทศโดยเฉพาะไปดูงานทางภาครัฐ ก็คงไม่มีประเทศไหนเอาความไม่ดีของประเทศเขามาให้เราดู เขาต้องพาเราไปดูในเรื่องดีๆ ของเขาเป็นส่วนใหญ่ หรืออาจจะรวมทั้งการต้อนรับที่ดีด้วย
ผมเป็นคนที่มีความเชื่อว่าทุกประเทศมีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี แต่คนไทยที่ไปดูงานมักได้ดูแต่เรื่องดีๆ ของเขาและไม่ได้อยู่ในประเทศของเขานานพอ ไม่ได้เข้าใจภาษาของเขาดีด้วยเลยไม่เคยรู้ว่าประเทศที่ไปดูมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง แต่คนไทยอยู่ในประเทศไทยมากกว่า สัมผัสเรื่องไม่ดีๆ ในประเทศมากมายตลอดเวลา จึงทำให้มีแนวโน้มที่จะมองว่าประเทศของเรา นี่ก็ไม่ดี นั่นก็ไม่ดี สู้ประเทศอื่นไม่ได้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใหม่ๆ เราก็ชื่นชมว่าประเทศอังกฤษดี อเมริกาดี แล้วเราก็มาชื่นชมญี่ปุ่นว่าเก่งและขยันดี ต่อมาเราก็มาพูดว่าเราสู้ประเทศจีนไม่ได้เพราะค่าแรงของเขาถูกกว่าเรา หลังๆ นี้เราก็เริ่มพูดกันว่าเราสู้เวียดนามไม่ได้เพราะเขาเน้นเรื่องการศึกษา และการศึกษาของเราก็ไม่ดี ไม่พัฒนา สู้เขาไม่ได้แน่นอน รวมทั้งค่าแรงเขาก็ถูกกว่าเราด้วย
ถ้าเรามัวแต่คิดแบบนี้ก็เท่ากับเราคิดลบต่อประเทศของเรา ถ้าเราจะลุกขึ้นมาพูดว่าเรามีจุดอ่อนและเราจะแก้ลดจุดอ่อนของเราให้น้อยลงให้จงได้ แทนที่จะพูดกันว่า ถ้าประเทศจีนหรือประเทศเวียดนามทำสินค้าอะไร เราต้องหนีไปทำสินค้าอื่นที่เขายังไม่คิดจะทำ คิดอย่างนี้แล้วเราจะหนีไปถึงไหน? ทำไมไม่คิดว่า เราจะสู้ และคิดว่าถ้าเราสู้เราต้องสู้ได้ เราจะหาวิธีการที่จะสู้เขาให้ได้แทนที่จะแค่หาข้อมูลว่า เขามีค่าแรงถูกกว่าเรา มีการศึกษาดีกว่าเรา เราน่าจะคิดหาว่าคนไทยมีอะไรดีบ้าง เก่งบ้าง และเอาความดีความเก่งของคนไทยรวมทั้งการคิดสู้อย่างมีกลยุทธ์ ประเทศไทยมีหลายๆ อย่างที่ดีและสู้ประเทศอื่นได้ ถ้าเราคอยฟังว่าประเทศอื่นมีอะไรและเราจะทำให้ดีกว่าเขาให้ได้ นี่แหละคือการคิดสู้ และความเป็นชาตินิยมของคนในชาติไทยช่วยได้
ที่มา นสพ. กรุงเทพธุรกิจ : คอลัมน์ 20 CEOs 20 IDEAs
วันที่เขียน 01/04/2008 วันที่ตีพิมพ์ 15/10/2008
บันทึกบทความเมื่อ 15/10/2008 09:57:46 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 15/10/2008 09:57:46 โดย Narin