ความคิดไม่เปลี่ยน พฤติกรรมก็ไม่เปลี่ยน
ผมมีประสบการณ์ในการทำงานกับผู้บริหารหลายๆ ระดับและในลักษณะงานที่แตกต่างกัน เช่น งานการขาย การตลาด การผลิต การบริหาร การเงิน การบัญชี การบุคคล ฯลฯ สิ่งหนึ่งที่ท้าทายความสามารถของผมคือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ซึ่งต้องใช้ความอดทนและความใจเย็นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงซึ่งผ่านงานมามาก และเคยประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องก็ยิ่งเปลี่ยนยาก
พฤติกรรมบางอย่างเกิดจากการคิดลบ ซึ่งส่งผลต่องาน ส่งผลต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรด้วย พฤติกรรมบางอย่างก็เกิดจากความสำเร็จที่มีมาอย่างต่อเนื่อง จนเจ้าตัวเชื่อหรือสำคัญผิดว่าพฤติกรรมที่เป็นอยู่อย่างนี้ก็พอเพียงที่จะทำให้องค์กรเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ แต่ในโลกปัจจุบันธุรกิจมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านศาสตร์และศิลป์ คนเหล่านี้ไม่ได้มีการทบทวนพิจารณา วิธีการที่ตนใช้ในการทำงานอย่างเพียงพอในระหว่างที่ตนทำงานจนประสบความสำเร็จมาโดยตลอดว่าสำเร็จมาได้ด้วยปัจจัยอะไร ฉะนั้นแม้แต่คิดได้แล้วว่าตนเองจะต้องพัฒนาอย่างไรก็ยังอาจจะพัฒนาความคิดได้ไม่ทันต่อเหตุการณ์เพราะความไม่ชำนาญในการพัฒนาตนเอง มิหนำซ้ำบางคนยังยึดติดกับอัตตาของตน หรือยังหยิ่งเกินไปที่จะเปลี่ยนตนเองตามความคิดของผู้อื่น เพราะหลงเชื่อไปแล้วว่าตนเองเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่น จึงไม่ฟังใครจนเป็นนิสัยที่ไม่ฟังคน ฟังใครก็ไม่รู้เรื่อง แม้ว่ารู้เรื่องบ้างก็ยังจะไม่ทำตาม คิดตาม หรือทดลองทำดู
พฤติกรรมดังกล่าวมานี้ไม่จำเป็นว่าจะเกิดกับคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต การทำงานเท่านั้น แม้แต่คนที่มีประสบการณ์น้อยก็ยังมีโอกาสเป็นเช่นนี้ได้เหมือนกัน เพราะคนที่มีประสบการณ์น้อยแต่เรียนมาสูง ก็เริ่มสำคัญตนเองผิดได้เช่นกัน คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาอย่างนี้เกิดจากการใช้ความคิด คิดทบทวนตนเองน้อยเกินไป รับรู้แต่สถานการณ์ ความสำเร็จที่ตนได้มา และคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากที่ไม่ได้ตั้งวิสัยทัศน์ในการพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ยกระดับจิตของตนให้สูงขึ้น ส่วนใหญ่คงเน้นไปคิดเรื่องทางวัตถุ เช่น มีเงิน มีรถ มีบ้าน คอมพิวเตอร์ การบันเทิงต่างๆ ฯลฯ
จุดเริ่มต้นของการทบทวนตนเองว่าตนเองต้องพัฒนาตนเองนั้นจะทำให้ได้ผลดีก็ด้วยการฝึกการถามตนเองและต้องพยายามหาคำตอบให้ได้ และคำตอบส่วนใหญ่ต้องไปในทิศทางเดียวกัน
สมมติว่าเป็นผู้บริหารสินค้าที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จแบรนด์หนึ่ง คำถามตัวอย่างที่ควรถามมีดังนี้
- อยาก เห็นแบรนด์โตขึ้นไปอีกไหม?
- จะ ต้อง มีผู้บริหารหรือพนักงานมาช่วยเพิ่มหรือไม่?
- ต้องการ พัฒนาพนักงานที่มีอยู่เดิมไปในทิศทางไหน?
- เรา ต้องการ ให้ Market Share ของเราเพิ่มขึ้นไหม?
- สินค้าแบรนด์นี้ยังขยายเข้าสู่ตลาดอื่น ได้ หรือไม่?
- มี คู่แข่งที่กำลังแข็งแรงมากขึ้นไหม?
- ฯลฯ
นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำถาม แต่ที่สำคัญทุกคำถามต้องมีคำตอบ และถ้าบอกว่าอยาก ต้องการ หรือมี หรือได้ เราต้องมีคำตอบเพิ่มว่าเราจะทำอย่างไรที่จะทำให้สิ่งที่เราต้องการ หรืออยากได้นั้นบรรลุผล ซึ่งอาจจะต้องใช้ความคิดที่ละเอียดอ่อนและ เขียนความคิดเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อพิจารณาอยู่เรื่อยๆ และการเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองก็จะเปลี่ยนไปตามความคิดที่เปลี่ยนไป
ที่มา นสพ. กรุงเทพธุรกิจ : คอลัมน์ 20 CEOs 20 IDEAs
วันที่เขียน 01/03/2008 วันที่ตีพิมพ์ 15/10/2008
บันทึกบทความเมื่อ 15/10/2008 09:29:33 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 15/10/2008 09:29:33 โดย Narin