อารมณ์
ตลอดเวลาที่เราตื่น คนเรานั้นอยู่ในอารมณ์ อารมณ์ก็มีอยู่ 2 อย่าง ในการแยกแยะของผมก็คือ อารมณ์บวก อารมณ์ลบ
อารมณ์บวก | อารมณ์ลบ | |||
1) | รัก | Love | เกลียด | Hate |
2) | ชื่นชม | Admire, Appreciate | อิจฉา | Jealous |
3) | สงบ | Peaceful | กระวนกระวาย | Fidget |
4) | สุข | Happy | ทุกข์ | Sad |
5) | พอใจ พอดี พอเพียง | Satisfy, Enough, Sufficient | หลง | Infatuate |
6) | เมตตา | Kind | โลภ | Greedy |
7) | อภัย ปล่อยวาง | Forgive | โกรธ | Angry |
8) | ยอมรับ | Receptive | มีทิฐิ | Mean |
9) | กล้า | Courage | กลัว | Fear |
10) | มั่นใจ | Confidence | ห่วง | Worry |
11) | ไม่เป็นไร | Never Mind | เสียดาย | Regret |
12) | ดี | Good | ร้าย | Bad, Wicked |
13) | ดีใจ | Pleased | เสียใจ | Hurt |
ทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้เป็นเรื่องของอารมณ์ เป็นเรื่องของความคิด ซึ่งจะผลุดขึ้นได้ในแต่ละคน แต่บางคนก็มีอารมณ์ทางด้านบวกมาก บางคนก็มีอารมณ์ทางด้านลบมาก คนมีอารมณ์ทางด้านบวกมากส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยคิดว่าทำไมเราถึงมีอารมณ์ทางบวกมาก หรืออย่างมากก็พูดกับตัวเองว่า เราเป็นคนโชคดี แต่คนที่มีอารมณ์ลบมากส่วนมากก็จะโทษว่าเป็นเพราะผู้อื่นกระทำต่อเรา หรือเป็นคนจนไม่มีใครสนใจ หรือมีคนคอยจะแกล้งเราอยู่ตลอด อารมณ์ลบก็เกิดจากคนที่ชอบคิดลบ ทุกๆสิ่งในโลกนั้นมีทั้งดีและไม่ดีอยู่ในเวลาเดียวกันตลอด ในสิ่งๆหนึ่งอาจจะมีเรื่องไม่ดี 9 เรื่องแต่มีเรื่องด 1 เรื่อง แต่เรื่องที่ดี 1 เรื่องนั้นอาจจะสำคัญและมีคุณค่ามากว่าเรื่องไม่ดี 9 เรื่องมารวมกันก็ได้ แต่เรื่องไม่ดี 9 เรื่องนั้นคนที่คิดลบก็มักจะมองเห็นแต่จะมองไม่เห็นเรื่องด 1 เรื่องนั้น
สิ่งที่จะทำให้คนเราสามารถรับรู้อารมณ์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลาก็คือ สติ ถ้าเราสามารถรับรู้ทุกขณะจิตเลยว่า เรากำลังอยู่ในอารมณ์บวกหรืออารมณ์ลบ ก็เท่ากับว่ามีสติ ทุกๆคนมีโอกาสที่จะมีอารมณ์ลบผลุดเข้ามาในจิตใจ แต่ถ้าทุกคนที่มีอารมณ์ลบผลุดขึ้นมาแล้วเรามีสติดี เราก็สามารถใช้สัมปชัญญะของเราจัดการหรือแก้เกมให้อารมณ์ที่เป็นลบของเราเปลี่ยนเป็นอารมณ์บวก และในหลายๆ ครั้งก็อาจจะช่วยทำให้เรื่องร้ายๆ กลายเป็นดีได้ เพราะถ้าสติสัมปชัญญะของเราไม่เข้ามามีบทบาทในด้านอารมณ์ของเรา บางครั้งก็อาจจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นถึงชีวิตของตนเองหรือของผู้อื่นได้ หรือไม่ก็ทำให้เกิดการเสียหายต่อทรัพย์สินขึ้นได้ เพราะการขาดสติและเต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นอารมณ์ลบ
การที่สามารถเอาอารมณ์ลบแล้วเปลี่ยนเป็นอารมณ์บวกได้นั้น หลายๆ ครั้งเกิดสิ่งที่ดีๆ กับตนเองได้มาก
ตัวอย่างที่ 1
ถ้าเราเกิดทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาแทนที่จะคิดเสียดาย หรือตำหนิตนเองหรือผู้อื่น หรือโทษฟ้าโทษดิน ให้เราคิดใหม่ว่า การผิดพลาดครั้งนี้ทำให้เรามีบทเรียนให้เราไม่ผิดพลาดในครั้งต่อไป ซึ่งถ้าเราไม่ได้ผิดพลาดตั้งแต่ครั้งนี้ ครั้งต่อไปอาจจะเสียหายมากกว่านี้ และบทเรียนของความผิดพลาดนี้จะทำให้เราเก่งขึ้น และเรารู้แล้วว่าความผิดพลาดนี้เกิดจากความผิดพลาดในการคิดในการกระทำของเราตรงไหน
ตัวอย่างที่ 2
ในกรณีที่มีผู้อื่นมาสร้างความเดือดร้อนให้กับเรา แทนที่เราจะไปคิดว่า ทำไมๆ เขาต้องมาทำกับเรา เรามันโชคร้ายจริงๆ หรือทำไมเขาถึงเป็นคนที่เลวได้อย่างนั้น ก็ให้เราคิดใหม่ว่า การที่เราได้รับความเดือดร้อนเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทุกๆคนมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับตนเองจะช้าหรือเร็วเท่านั้น และเป็นบทเรียนบทเตือนใจว่า เราจะไม่ไปทำต่อผู้อื่น ฉะนั้นผู้ที่ทำความเดือดร้อนแก่เราเท่ากับเป็นผู้เตือนสติให้เราจะไม่มีวันไปทำอย่างนี้กับผู้อื่น และเราอโหสิให้เขาได้ด้วย
ตัวอย่างที่ 3
เวลาที่เราหิวเพราะเราไม่มีเวลารับประทานอาหาร หรือกำลังลดความอ้วนอยู่ หลายๆ คนก็อาจคิดว่า เราก็มีเงินทองมากมายยังไม่มีกินทำให้ท้องหิวได้อีกนะ หรือถ้ากำลังลดความอ้วนอยู่ก็จะคิดว่า ความหิวนี้มันทรมานเหลือเกิน คราวหน้าที่จะลดความอ้วน จะหายาลดความอ้วนมารับประทานและสามารถกินอาหารได้ตามปกติจะดีกว่า
แต่ถ้าคิดใหม่ว่า ความหิวเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนควรจะได้สัมผัสบ้าง เพราะหิวจะได้เตือนสติตัวเราให้รู้จักคิดถึงผู้อื่นที่ยากไร้หิวโหย เราจะได้มีจิตกุศลอยากจะทำบุญให้กับคนที่อดอยากมากขึ้น
ตัวอย่างที่ 4
เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย บางคนก็มักจะคิดว่าทำไมการเจ็บป่วยแบบนี้ถึงต้องเกิดกับเรา เราเป็นคนโชคไม่ดีเลย คนอื่นก็ไม่เห็นเขาเป็นหนักเท่ากับเราเลย เราทรมานเหลือเกิน
แต่ถ้าคิดใหม่ว่า การที่เราเจ็บป่วยเป็นการชดใช้กรรม ถ้าทำกรรมเอาไว้มากก็ต้องชดใช้มาก (ป่วยนานหน่อย) ใช้ให้หมดในชาตินี้จะได้ไม่ต้องไปใช้ต่อในชาติหน้า และเราจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเราให้มากขึ้น และยังเป็นการทำให้เราระลึกถึงสัจธรรมที่ว่า คนเราต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งคนที่ระลึกได้เช่นนี้ก็นับว่าเป็นกุศลและจะทำให้เราปล่อยวางได้มากขึ้น
ตัวอย่างที่ 5
เวลาที่เราไม่สมหวังในสิ่งที่เราต้องการหรืออยากได้ หลายๆ คนอาจจะคิดว่า เราคงไม่มีบุญวาสนา หรือสิ่งที่เราหวังไว้อาจจะไกลเกินเอื้อม หรือเราคงไม่มีศักยภาพพอที่จะได้สิ่งนั้น
แต่ถ้าคิดใหม่ว่า ที่เรายังไม่ได้เพราะเรายังมุ่งมั่นไม่พอ หรือยังไม่สามารถเปลี่ยนความหวัง (Wish) ให้เป็นแรงบันดาลใจ (Inspiration) และเปลี่ยนแรงบันดาลใจให้เป็นความมุ่งมั่น (Determination) และถ้ามีความมุ่งมั่นที่ชัดเจนและไม่หลายอย่างเกินไป โอกาสที่เราจะได้ในสิ่งที่เราหวังก็จะเกิดขึ้นได้ (ขอเพียงแต่ว่าความมุ่งมั่นนั้นเป็นความมุ่งมั่นที่ไม่มีเงื่อนไข และความมุ่งมั่นนั้นเป็นความมุ่งมั่นที่เป็นบวกกับตัวเองและกับผู้อื่น เป็นความมุ่งมั่นที่สุจริตไม่ก้าวล่วงหรือเบียดเบียนผู้อื่น)
วันที่เขียน 16/05/2006 วันที่ตีพิมพ์ 16/05/2006
บันทึกบทความเมื่อ 06/09/2007 17:48:36 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 06/09/2007 17:48:36 โดย Narin