การแบ่งกำไร (Profit Sharing)
การบริหารองค์กรให้มีความเจริญก้าวหน้า มีความมั่นคงนั้นมีหลายวิธี ผู้บริหารระดับสูงของแต่ละองค์กรก็ใช้วิธีที่แตกต่างกันออกไป ผู้บริหารระดับสูงก็มีหลายสถานะ บางคนก็อาจจะเป็น เจ้าของเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ บางคนก็อาจจะเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งในบริษัท บางคนก็อาจจะเป็น มืออาชีพที่ผู้ถือหุ้นจัดจ้างเข้ามาบริหาร ผมไม่ได้พูดถึงบริษัทที่มีคนทำงานไม่กี่คน แต่ผมพูดถึงบริษัทที่มีพนักงานเป็นร้อยเป็นพัน ซึ่งมีผู้บริหารที่เป็น CEO หรือกรรมการผู้อำนวยการ หรือกรรมการผู้จัดการใหญ่คงไม่สามารถสั่งงานหรือคิดงานได้ด้วยตัวคนๆเดียวอย่างละเอียดโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
มีวิธีการหรือหลักคิดการบริหารของผู้บริหารระดับสูง ซึ่งพอจะแยกแยะได้ดังต่อไปนี้
ผู้บริหารระดับสูงที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้ก่อตั้ง
ประเภทที่ 1 ใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางการตัดสินใจทุกอย่าง เรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างตนเองจะต้องรับรู้ ถ้าไม่รับรู้ก็จะเป็นเรื่อง ผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะเป็นแค่คนรับนโยบาย รับคำสั่ง การเสนอความคิดจากผู้บริหารมีน้อยมาก จะรับฟังหรือเห็นด้วยเฉพาะความคิดที่ตนเองคิดอยู่แล้ว ถ้าความคิดที่ตนเองไม่เคยคิดก็จะไม่รับฟัง ไม่รับไปเป็นแนวปฏิบัติ
ประเภทที่ 2 ใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางขององค์กร แต่นอกจากนั้นก็ยังเข้าถึงงาน เข้าถึงผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด เข้าใจงานเข้าใจความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชาในแต่ละระดับ มุ่งหวังความ เจริญขององค์กรมากกว่าความเจริญรุ่งเรืองของตน
ประเภทที่ 3 ใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางเท่าที่จำเป็น มอบหมายกระจายการบริหารให้ลงไปในแต่ละระดับตามความเหมาะสม เข้าใจความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชาในแต่ละระดับ เอาใจผู้ใต้บังคับบัญชามาใส่ใจตน ใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมที่จะสนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาประสบความสำเร็จในงานของเขา และมีความเจริญก้าวหน้าในงานพร้อมกับตน
ประเภทที่ 4 ยกตนเองให้เหนือกว่าจากผู้ใต้บังคับบัญชา มอบความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าคนไหนทำตามเป้าหมาย ความต้องการหรือถูกใจก็จะให้รางวัล คนไหนไม่ได้เป้า ทำไม่ตรงตามความต้องการหรือไม่ถูกใจก็จะให้โทษแก่ผู้นั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาคือผู้ที่ต้องทำตาม คำสั่งของตนแต่เพียงผู้เดียว ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มีส่วนในความเจริญก้าวหน้าหรือมีส่วนเป็นเจ้าของบริษัท ความเจริญก้าวหน้าคือรางวัลหรือเปอร์เซ็นต์จากผลกำไรที่ทำได้ในแต่ละปี
*** รางวัลที่ได้ยังมีอยู่ 2 ประเภท คือ 1) ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นหมู่คณะ 2) ให้เฉพาะตัวหัวหน้าใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
ประเภทที่ 5 แยกตนเองออกมาจากผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใกล้ชิดคลุกคลีกับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือเลือกคลุกคลีเฉพาะคนที่ชอบนิสัย ชอบคนที่ชอบอะไรคล้ายตน หรือร่วมงานก็เฉพาะในงาน แต่ไม่ค่อยร่วมในกิจกรรมอื่นๆ นอกงาน ใช้ชีวิตส่วนตัวโดยไม่ยอมให้เกี่ยวกับงานถ้าไม่จำเป็น มีความ สนใจนอกงานของบริษัทมาก หวังให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานให้คุ้มกับเงินเดือนโดยไม่ค่อยคิดถึงเรื่องแรงจูงใจอื่นๆ เช่นเรื่องขวัญ กำลังใจ ความเจริญก้าวหน้า ความมีหน้ามีตาของผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ และมองผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคนละระดับกับตน
ผู้บริหารระดับสูงมีอาชีพที่ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของจ้างมาบริหาร
ประเภทที่ 1 บุคลิกดี พูดเก่ง และเน้นการทำให้ถึงเป้าหมายที่ได้รับปากกับเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น มุ่งความสำเร็จของตนเองมากเพราะหมายถึง รายได้ และเงินรางวัล ค่าตอบแทนที่ตนจะได้รับ เตรียมสร้างผลงานในเชิงตัวเลขไว้ให้ดีเผื่อว่าจะมีคนอื่นมาจ้างไปทำงานที่ใหญ่กว่าและได้ผลตอบแทนมากกว่า
ประเภทที่ 2 มีความเชื่อว่า ทำงานที่ใดต้องทำให้ที่นั่นเจริญก้าวหน้าได้ ต้องการพิสูจน์ตัวเอง หรือแสดงผลงานมากกว่าเรื่องของรายได้หรือความเจริญก้าวหน้า
ประเภทที่ 3 มีความเชื่อว่าทำงานที่ไหนต้องดูแลเสมือนว่าตนเองเป็นเจ้าของกิจการ ปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท แต่ไม่ค่อยเน้นความเจริญเติบโตของบริษัท เพราะค่อนข้างกลัวความเสี่ยงซึ่งเกิดจากความเจริญเติบโต สามารถแยกแยะผลประโยชน์ของตนเองกับประโยชน์ของบริษัทค่อนข้างชัดเจน บางคนอาจจะนึกว่าพูดจาเหมือนเป็นเจ้าของบริษัท และมักจะโดนเพื่อนล้อ
ในหัวข้อนี้ผมอยากจะชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือผู้ก่อตั้ง กลุ่มที่ชอบใช้วิธีแบ่งผลประโยชน์ให้กับผู้บริหาร คือถ้าทำกำไรได้เท่าไรก็แบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ให้
เจ้าของกิจการเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในความสามารถของตนเอง หรือไม่ก็เป็นคนที่ชอบสบายๆ (ใช้เงินทำงาน) เป็นคนที่คิดลบและไม่ชอบเข้าสังคมต่างระดับ และไม่เห็นความสำคัญของการทำงานเป็นทีม ไม่เห็นความสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ให้การแบ่งผลประโยชน์กับผู้บริหารระดับสูง (CEO) เพียงอย่างเดียว ที่ผมคิดเช่นนี้เพราะในบริษัทที่มีคนเป็นจำนวนมาก มีผู้บริหารมากมายหลายคน การที่มอบผลประโยชน์ให้กับคนๆเดียวที่มากกว่าหรือแตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจนนั้น ไม่ได้สร้างความสามัคคีแก่บริษัท ไม่สร้าง Team Spirit เพราะงานในบริษัทที่มีผู้บริหารหลายคน ไม่มีผู้บริหารคนใดจะคิดหรอกว่าทั้งบริษัทมีคนที่เก่งหรือทำงานอยู่คนเดียวก็คือ ผู้บริหารระดับสูงหรือ CEO คนเดียวเท่านั้น ผู้บริหารส่วนใหญ่ย่อมรู้สึกว่าตนเองมีส่วนในการสร้างผลงานกันทั้งนั้น แต่การที่ผลประโยชน์นั้นตกอยู่กับ CEO เพียงคนเดียว ความรู้สึกอยากจะร่วมมือจะมีมากขึ้นได้อย่างไร ? ความรู้สึกที่อยากจะช่วยคิด ช่วยเฝ้าระวังเรื่องต่างๆ ให้บริษัทจะมีมากขึ้นหรือน้อยลง ?
การบริหารบริษัทที่มีคนมาก การยอมรับผู้บริหาร การสร้าง Team Spirit มีความสำคัญมาก Team Spirit มักไม่ออกมาเป็นรูปธรรม แต่คนที่เข้าใจคนจะรู้สึกได้โดยการสังเกตพฤติกรรมและผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชาของ CEO ยิ่งถ้า CEO ผู้นั้นเป็นคนที่นิสัยไม่ค่อยดีด้วย ก็จะสร้างความระส่ำระสาย ความเกลียดชัง ความท้อแท้ ความไม่รักองค์กรให้เกิดขึ้นในบริษัทด้วย
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะกล่าวถึงก็คือ การสัญญาเรื่อง Bonus ว่าจะให้กี่เดือน หรือสัญญาว่าจะให้ Bonus เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของกำไรขององค์กร
การให้โบนัสผมเห็นว่าเป็นเรื่องสิทธิของโบนัสว่าจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ เรื่องนี้ต้องชี้ให้ชัดเจนกับพนักงานเพื่อให้พนักงานไม่เกิดการคาดหวัง หรือถือเอาโบนัสเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ประจำ การประชาสัมพันธ์ให้พนักงานรับรู้อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ฝ่ายจัดการจะมีความอยากจะให้โบนัสมากๆ แก่พนักงาน ก็รับปากไม่ได้และยังต้องย้ำเสมอว่า โบนัสมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน และไม่ใช่ขึ้นอยู่กับผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว เพราะถ้าไปผูกโบนัสกับผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว เวลากำไรมากขึ้นก็ไม่มีปัญหา แต่เวลากำไรลดหรือขาดทุน พนักงานก็จะถามว่ากำไรหายไปไหน ใครเอาไปซ่อนไว้หรือเปล่า ผู้บริหารทำงานไม่ถูกต้องก่อให้เกิดผลเสียหาย หรือมีการใช้จ่ายในบริษัทเกินความจำเป็นหรือเปล่า
เหตุการณ์เช่นนี้อาจจะก่อให้เกิดการ Strike ได้ ผู้บริหารระดับสูงเป็นจำนวนมากที่เวลาพูดหรือตัดสินใจไม่ได้คิดให้รอบคอบถึงผลที่จะตามมา หรือที่ว่า Worst case scenario ก็อาจจะเกิดสถานการณ์แบบนี้ในบริษัทที่ตนรับผิดชอบ
การรับปากเรื่องโบนัสจะทำได้อยู่กรณีนี้ก็คือ ถ้าบริษัททำยอดขายได้ตามเป้า และทำกำไรได้ตามเป้าหมาย บริษัทก็จะจ่ายโบนัสเป็นจำนวนเท่ากับกี่เท่าของเงินเดือน และจำนวนเงินที่จะจ่ายโบนัสก็สำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายแล้วตั้งแต่ต้นปี
ถ้าทำตามนี้การจ่ายโบนัสก็จะไม่มีปัญหา การจ่ายโบนัสให้พนักงานเป็นสิ่งที่ดีที่บริษัทควรทำ แต่ต้องย้ำว่าเป็นสิทธิของบริษัทที่จะจ่ายมากหรือน้อยก็ได้ ไม่ใช่อยู่กับการพิจารณาของพนักงาน เพื่อให้โบนัสที่จ่ายออกไปเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับพนักงาน เพราะได้รับสิ่งที่บริษัทมอบให้ด้วยความรัก ทั้งๆ ที่บริษัทมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ก็ได้
วันที่เขียน 06/01/2006 วันที่ตีพิมพ์ 06/01/2006
บันทึกบทความเมื่อ 06/09/2007 17:37:18 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 06/09/2007 17:37:18 โดย Narin