มุมมองต่อคน – ความรู้กับความคิด
คนเราในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝังให้ใฝ่หาความรู้ ที่อยากจะชี้ให้เห็นจริงๆ นั้นคือว่า ความรู้อย่างเดียวนั้นไม่พอ ถ้าขาดศีลธรรมอันดีงามสำหรับสังคม ผมคิดว่าเราเน้นแต่ความรู้มากเกินไปในปัจจุบัน แต่เราเน้นเรื่องหน้าที่และศีลธรรมน้อยเกินไป ผมเรียนวิชาหน้าที่และศีลธรรมในสมัยมัธยมต้นก็ใช้วิธีท่องจำ ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าผิด ต้องให้เข้าใจ แต่ถ้าท่านเข้าใจเรื่องจิตใต้สำนึกแล้ว ท่านก็จะเข้าใจว่าศีลธรรมใช้การท่องนั่นแหละใช้ได้เลย เพราะการท่องจำทำให้ศีลธรรม มโนธรรม คุณธรรม เข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกได้เพราะศีลธรรมไม่ใช่เรื่องของเหตุผลเสมอไป แต่เป็นเรื่องที่มนุษย์ต้องมีเพื่อแยกตนเองออกจากการเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ตัวอย่างเช่น การฝึกเล่นกีฬา ต้องมีการซ้อม ต้องมีโค้ชคอยให้คำแนะนำว่าต้องคิด อย่างไร ทำอย่างไรในขณะเล่น และคงไม่ใช่่แนะนำเพียงหนเดียว แต่ต้องคอยพูดซ้ำๆ ๆ ๆ ในขณะซ้อม ทั้งนี้เพื่อให้คำแนะนำและการกระทำการฝึกนั้นเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึก และในการแข่งขันจริงจะใช้การหาข้อมูล เปิดอินเตอร์เนตแล้วค่อยมาตอบโต้คู่แข่งขันนั้นไม่ได้ ไม่ทัน ต้องมี reaction ขึ้นมาทันทีที่มีการจู่โจม ซึ่ง reaction เหล่านี้เกิดจากการฝึกหรือการท่อง ซึ่งมีผลกระทำต่อจิตใต้สำนึก การท่องการฝึกต่างๆ ที่เราทุกคนทำก็คือ การฝึกจิตใต้สำนึกนั่นเอง เพราะถ้าจิตใต้สำนึกรับรู้แล้วเวลามีเหตุการณ์อะไรที่ต้องการการตอบสนองจะทำได้โดยไม่ต้องคิดเลย หรือเรียกว่าเกิดสัญชาติญาณใหม่ขึ้นมาเลยก็ว่าได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเกิดจากการฝึกฝนหรือท่องจำ มโนธรรม คุณธรรม และศีลธรรมต่างๆ ก็เกิดจากหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าและผู้มีปัญญาได้สอนไว้แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งสิ้น สำหรับเรื่องการบริหาร การตลาด กฎหมาย วิทยาศาสตร์ และการบัญชี หลายๆ ครั้งความรู้อย่างเดียวที่เกิดจากการเรียนการสอนในโรงเรียนนั้นยังไม่พอ ประสบการณ์ในการทำงานจะบอกเราเองว่าสิ่งที่เล่าเรียนจากในโรงเรียนถึงระดับปริญญานั้นเป็นแค่เบื้องต้น หรือทำให้เรามีระบบมากขึ้น รู้แหล่งข้อมูลมากขึ้น แต่ยังห่างจากการทำให้เกิดประโยชน์อีกมาก
ฉะนั้นการเปิดรับความคิดความเข้าใจสิ่งรอบข้างนั้นสำคัญ (จากที่ผมได้ประสบมาก็พบว่าหลายๆ คนที่เรียนจบมาใหม่ๆ ก็จะรู้สึกว่าตนเองรู้มากหรือเก่งกว่าผู้อื่นมากแล้ว ทำให้ปิดการรับรู้ความคิด ความเข้าใจจากสิ่งรอบข้างอย่างมาก รู้จักแต่จะสอนจะสั่ง จะตำหนิผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ที่ด้อยกว่าตน)ความรู้ที่เรียนมาจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยหลายๆ คนก็เรียนรู้มาเพื่อการสอบ เพื่อให้ได้มาซึ่งประกาศนียบัตรหรือปริญญา พอเรียนจบก็ลืมไปเสียเกือบหมด ที่เหลืออยู่ก็อยู่ในรูปของความจำ (ยิ่งหลายๆ คนชอบพูดว่าความรู้คืนครูไปหมดแล้ว ก็ยิ่งจะไม่เหลืออะไรอยู่เลย) สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้กับทุกๆ คนก็คือ ความรู้ถ้าเก็บไว้เพียงแค่ความรู้ ความรู้นั้นมีทั้งส่วนที่มีประโยชน์มาก ประโยชน์น้อย และไม่มีประโยชน์ต่อตัวเราและต่อผู้อื่นเลย สมองของคนมีจำกัด แต่ปัจจุบันความรู้มีมากมาย ฉะนั้นเราต้องรู้จักแยกแยะความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและต่อผู้อื่น แล้วเอาความรู้เหล่านั้นมาคิด มาพินิจพิเคราะห์บ่อยๆ ไม่ใช่เก็บเป็นข้อมูลเหมือนที่คนในปัจจุบันชอบเก็บกัน (ซึ่งเก็บนานๆ เก็บมากๆ ก็ลืมไปหมด) และสรุปเป็นความคิด หรือหลักคิด อุดมคติ ปรัชญา เพราะถ้าเก็บในรูปนี้แล้วจะไม่ลืมและเอามาใช้เป็นประโยชน์ใน สถานการณ์ที่เหมาะสมได้ เพราะการที่เอาความรู้มาคิดมาทำความเข้าใจหลายๆ ครั้งเท่ากับการบรรจุความรู้ความคิดนั้นเข้าไปในจิตใต้สำนึก และเมื่อจิตใต้สำนึกรู้แล้ว เวลาต้องปฏิบัติหรือ ตัดสินใจก็จะกระทำได้โดยอัตโนมัติสิ่งสำคัญก็คือต้องบรรจุความรู้หรือความคิด ถ้าเป็นความรู้หรือความคิดที่ดีๆในจิตใต้สำนึกของเรา อย่าบรรจุความรู้หรือความคิดที่ไม่ดีลงไป
คุณพ่อเคยบอกผมว่า จงคิดในสิ่งที่เป็นกำไรแก่ตนเอง อย่าคิดในสิ่งที่เป็นการขาดทุน การคิดในสิ่งที่ไม่ดีก็คือคิดแล้วขาดทุน คิดบ่อยๆ ในเรื่องกำไร จิตใต้สำนึกก็จะรับรู้เรื่องกำไรๆ ไป ถ้าคิดเรื่องขาดทุน จิตใต้สำนึกก็จะรับเรื่องขาดทุนๆ ไปจิตใต้สำนึกของเรามีพลังมาก แต่ ไม่รู้ผิดรู้ถูก ฉะนั้นถ้ารับรู้เรื่องดีๆ ก็จะเสริมให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นกับตัวเรา แต่ถ้ารับรู้สิ่งที่ไม่ดีก็จะเสริมสิ่งที่ไม่ดีให้เกิดแก่ตัวเรา
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ – ยกเครื่องความคิด
วันที่เขียน 02/02/2005 วันที่ตีพิมพ์ 02/02/2005
บันทึกบทความเมื่อ 13/07/2007 19:52:59 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 13/07/2007 19:52:59 โดย Narin