กิจกรรมกับผู้บริโภค
ในการทำการตลาดในยุคปัจจุบันการแข่งขันมีมาก เจ้าของผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ดีย่อมได้เปรียบและประสบความสำเร็จ การเข้าถึงผู้บริโภคนั้นทุกคนก็คงเข้าใจว่าหมายถึงอะไร แต่ก็มีผู้ประกอบการเป็นจำนวนมากที่ละเลยหรือทำไม่ถูกวิธีทำให้ผลิตภัณฑ์ขายไม่ได้ดีเท่าที่ควร ทั้งนี้เกิดจากการไม่ทำกิจกรรมที่โดนใจผู้บริโภคหรือทำกิจกรรมกับผู้บริโภคในวงที่แคบและน้อยเกินไป โดยไม่ได้ครอบคลุมผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของตน การครอบคลุม ความถี่ และค่าใช้จ่ายต่อครั้งของกิจกรรมต้องได้รับการพิจารณานอกเหนือจากลักษณะของกิจกรรมและยอดขายที่จะได้รับในแต่ละกิจกรรม
เจ้าของกิจการหรือผู้จัดการผลิตภัณฑ์มีหลายคนที่ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น ได้แต่สั่งลูกน้องหรือผู้ที่เรียนจบการตลาดไปทำกิจกรรมกับผู้บริโภคเป็นครั้งๆ เป็นเรื่องๆ ไม่ได้กำหนดเป็นแผนการทำกิจกรรมกับผู้บริโภคอย่างเป็นระบบ และส่วนใหญ่ไม่ได้พิจารณาแบบบูรณาการว่ากิจกรรมนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร และไม่ได้หาวิธีที่จะวัดว่าได้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ การกำหนดวัตถุประสงค์ ซึ่งหลายๆคนละเลยอย่างมาก หรือให้ความสำคัญน้อยเกินไป หลายคนทำเพื่อให้มีกิจกรรม หลายๆคนทำให้มียอดขาย หลายๆคนทำตามหน้าที่ หลายๆคนทำเพราะเห็นคู่แข่งทำก็ต้องทำบ้าง หลายๆคนเห็นคนอื่นทำก็อยากทำบ้าง หลายๆคนทำเพราะอยากทำหรือทำด้วยความเคยชิน หรือทำเหมือนปีที่แล้ว หลายๆคนก็ทำไปเพราะผู้ใหญ่สั่งให้ทำ
วิธีการที่จะได้มาซึ่งวัตถุประสงค์ซึ่งผมตั้งเป็นหัวข้อคำถาม และผู้ที่จะทำกิจกรรมต้องตอบกับตนเองให้ได้จึงจะเริ่มทำได้มีดังนี้
- ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายคือใคร อยู่ที่ไหน ชอบอะไร (ข้อนี้ผู้ที่จบการตลาดมาส่วนใหญ่จะคิดอยู่แล้วในระดับหนึ่ง)
- กิจกรรมที่จะทำนั้นจะทำเพื่ออะไร ตัวอย่างเช่น เพื่อให้เกิดการเพิ่มยอดขาย เพื่อให้เกิดการรับรู้ผลิตภัณฑ์ หรือ Brand หรือเกิดความชอบหรือความประทับใจในผลิตภัณฑ์มากกว่าเดิม ฯลฯ (ทั้งหมดในข้อ 2 คือตัวอย่างของวัตถุประสงค์)
- รูปแบบของกิจกรรมนั้นจะเป็นแบบไหน อย่างไร ( ซึ่งจะเขียนไว้ใน หัวข้อ 30 ข้อ )
- ก่อนจะเริ่มทำกิจกรรมที่คิดจะทำก็ควรจะฝึกประเมินผลว่า จะได้ผลในหัวข้อวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่กำหนดเท่าไร และเตรียมการเก็บข้อมูลเพิ่มเพื่อใช้ใน การสรุปผลในระหว่างกิจกรรมต่างๆ ด้วย
ถ้าทำเช่นนี้พอหลังจากกิจกรรมสิ้นสุดก็จะสรุปได้ทันที และเทียบกับที่ประเมินไว้ว่าใกล้หรือห่างกันแค่ไหน ถ้าห่างก็ต้องสามารถหาสาเหตุว่าที่ห่างนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร เพื่อเป็นบทเรียนที่จะทำให้ใกล้เคียงกับวัตถุประสงค์ในครั้งต่อไป
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ – บทความการตลาด
วันที่เขียน 02/02/2005 วันที่ตีพิมพ์ 02/02/2005
บันทึกบทความเมื่อ 01/02/2007 17:51:16 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 01/02/2007 17:51:16 โดย Narin