พระพุทธองค์ทรงสอนให้ผมรู้จักคำว่า อนิจจัง
ซึ่งแปลว่า ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ซึ่งรวมทั้งพระพุทธองค์เอง
อนิจจังนั้นเป็นสัจธรรม ไม่ใช่เพียงของโลกมนุษย์ แต่เป็นสัจธรรมของจักรวาลเช่นกัน
ฉะนั้นการที่เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วหวังว่าทุกอย่างจะยั่งยืนถาวรนั้น เป็นความหวังที่เป็นไปไม่ได้
รวมทั้งตัวของมนุษย์ก็ไม่มีทางที่เป็นอมตะตลอดไป
มีแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
แล้วก็เกิดขึ้นอีก
เป็นวัฏจักรต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ แล้วก็เป็น วัฏสงสาร คือ ชาติภพ
เกิด แก่ เจ็บ ตาย
คนส่วนใหญ่ที่เข้าวัดก็มักจะได้ยินพระเทศน์ให้ฟังมาก่อนแล้ว ถ้าคนที่เข้าใจเรื่องอนิจจังอย่างดีแล้ว ก็จะเข้าใจต่อไปว่า…ชีวิตมีแต่ความไม่แน่นอน
แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ยังไม่แน่นอนว่าจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร
บางคนก็พยายามต่ออายุตัวโดยวิธีต่าง ๆ
แต่ผมเชื่อว่า วิธียืดอายุตัวเองได้ดีที่ดีที่สุดคือ การทำจิตให้เป็นกุศล
ซึ่งก็คือการมีสัมมาทิฐิ และลดหรือตัดมิจฉาทิฐิ ซึ่งก็คือการลดหรือตัดจิตที่เป็นอกุศล
และถ้าเพิ่มจิตที่เป็นกุศลได้ การทำคุณงามความดีก็จะตามมาเองโดยอัตโนมัติ
การทำบุญทำกุศลโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนก็ได้รับอานิสงส์ คือ มีอายุที่ยืนยาวขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับบุพกรรม หรือกรรมที่ทำมาในอดีตชาติด้วย
การทำให้จิตเป็นกุศลได้นั้น ต้องเริ่มจากการไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อิจฉาริษยาพยาบาท และไม่คาดหวังอะไรให้ตัวเองเกินความพอดี
โดยมีความเชื่อว่า ไม่มีอะไรที่เราจะได้ดั่งใจ
ซึ่งจะไม่ทำให้เราเกิดอารมณ์ขยะ มีแต่ความรู้สึกว่าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร โดยเฉพาะเวลาเราคาดหวังจากผู้อื่น
สิ่งที่ผมใช้ในความคิดก็คือ แม้แต่เรื่องที่เราต้องทำให้ได้ด้วยตัวเอง บางครั้งเรายังทำไม่ได้ดั่งใจเราเลย แล้วนับประสาอะไรที่เราจะคาดหวังจากผู้อื่น
เมื่อคิดดังนี้ ก็ทำให้เข้าใจผู้อื่นดีขึ้น และพร้อมที่จะให้อภัยตลอดเวลา
บางครั้งผมก็ใช้ความคิดว่า ถ้าเราอยู่ในสภาพของเขา
เราก็ไม่อาจทำได้อย่างที่คนอื่นคาดหวังจากเราก็เป็นได้
ไม่มีอะไรที่เราจะได้ดั่งใจจากผู้อื่น
ถ้าอยากได้ดั่งใจร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องลองทำด้วยตนเอง…แล้วจะเข้าใจ