ความเสื่อมถอยของจิตใจของคนในประเทศ
ผมไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ 18 ปีในปี ค.ศ. 1966 ผมอยู่ที่ประเทศอังกฤษได้ประมาณ 2 ปีก็ได้มีโอกาสมาเที่ยวตอน Summer ที่สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เล็กก็มองว่าอเมริกาเป็นประเทศที่ดีไปหมด เพราะส่วนใหญ่เราได้รู้จักอเมริกาจากการดู ภาพยนต์ของ Hollywood และเป็นเรื่องดีๆ ทางด้านวัตถุเสียส่วนใหญ่ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเอกก็ต้องเป็นหนังเรื่อง Shane ซึ่ง Allan Lad เป็นผู้แสดงโดยการขี่ม้าเข้าไปในเมืองคนเดียว แล้วยิงผู้ร้ายตายทั้งเมือง และตอนจบเมื่อ Shane (พระเอก) จากไป เด็กที่ Shane ช่วยไว้ก็ตะโกนว่า Shane…Come back again. และมีหนังอีกหลายๆ เรื่องที่คนอเมริกันเป็น Hero ผมจึงสรุปได้ตอนนี้ว่าภาพยนต์ Hollywood ทำให้คนอเมริกันเป็น Heroic Society คือสังคมต้องคอยมองหา Hero
เพื่อมาเป็นตัวยึดเหนี่ยวจนสุดท้ายเราก็มี Arnold Schawzenaker เป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียร์ และมี Ronald Reagan เป็นประธานาธิบดี
ตอนที่ผมมาเที่ยวในปี 1968 ก็ยังรู้สึกดีๆ กับสิ่งที่ได้สัมผัสในอเมริกา ส่วนมากก็เป็นเรื่องวัตถุ เช่น อาหารการกิน สถานที่เที่ยว เช่น Disneyland และรายการโทรทัศน์ที่เมืองไทยไม่มีในยุคนั้นในปี 1970 ก็ได้ย้ายไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาและได้ยินคนไทยพูดอยู่เสมอว่า เมืองไทยแย่ ข้าราชการคอรัปชั่น สู้อเมริกาไม่ได้ แต่ผมมองเมืองไทยแย่ก็จริงแต่กำลังดีขึ้น ส่วนอเมริกานั้นดีแต่ก็กำลังแย่ลงโดยผมสังเกตจากการไม่สนใจคนอื่น ไม่สนใจสังคมของคนอเมริกัน สนใจแต่ตัวเองความสุขสบายของตนเองมากกว่า ผมดูว่าพฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมของความเสื่อมถอยทางด้านจิตใจของคนในชาติ คำว่า I don’t care หรือ I don’t know จะได้ยินมากจากปากของคนอเมริกามากกว่าคนอังกฤษ ความเอื้ออาทรต่อสังคมในจิตใจมีน้อย แต่ถามว่ามีคนดีไหม? มีครับ แต่ผมดูเป็นมหภาพ (Macro) แต่คนในสังคมส่วนใหญ่ดีกับคนอื่นเพราะอยากให้คนอื่นดีกับเราดูแลคนอื่นเพราะอยากให้คนอื่นดูแลเราน้อยคนที่ดีกับคนอื่นโดยจิตสำนึก โดย ศีลธรรม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนนั้นมีน้อย ในหนังอเมริกันยุคนี้ก็ยังมีที่แสดงถึงคนที่ช่วยคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนมากเหมือนเดิม แต่ก็มีหนังเกี่ยวกับเรื่องร้ายๆ คนไม่ดีมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ซึ่งทำให้ไม่สามารถหล่อหลอมจิตใจของคนอเมริกันให้ดีขึ้นได้ คนอเมริกันอยู่ในสังคมแห่งความกลัว ความเห็นแก่ตัว การเอาตัวรอด ฉกฉวยประโยชน์จากผู้อื่นเมื่อมีโอกาสทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ (ผมเชื่อว่าการปลูกฝังเรื่องหน้าที่ ศีลธรรมในอเมริกาน่าจะมีน้อยกว่าในประเทศไทย) ในทุกประเทศผมว่ามีอัตราส่วนของคนที่มีจิตใจดีกับจิตใจไม่ดีอยู่ทุกประเทศ เพียงแต่ผมเชื่อว่าแต่ละประเทศมีอัตราส่วนนี้มากน้อยไม่เท่ากัน
วันที่ 16 พ.ย. 2003 ผมไปถึงสนามบินลอสแองเจลิสก็เริ่มมีความรู้สึกเหมือนเมื่อ 31 ปีก่อนที่ต้องมาขึ้นเครื่องบินที่นี่ ถึงแม้คนอเมริกันจะพยายามพูดกับคนที่ใช้บริการดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่ระบบในการบริการที่สนามบินก็ทำตามความสะดวกของผู้ให้บริการมากกว่าความสะดวกของผู้รับบริการ ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินเข้าถึง Immigration ก็คิวยาว ขนาดที่นักท่องเที่ยวก็ยังมีไม่มาก ใครกรอกฟอร์มผิดต้องไปต่อแถวใหม่ ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้เดินทางบ่อยๆ หรือภาษาไม่ดีคงจะต้องต่อคิวหลายรอบทีเดียว และถ้าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่องแต่งตัวประหลาด หน้าตาเหมือนอาหรับ คงโดนแก้ผ้าตรวจหาวัตถุระเบิดเป็นแน่ เนื่องจากผมต้องต่อเครื่องบินไป Phoenix Arizona เลยต้องรับกระเป๋าเดินทางออกมาก่อนแล้วเข็นใส่รถไปอีกที่ๆเขาจะส่งต่อที่เครื่องบินภายในประเทศ เนื่องจากคนอเมริกันกลัวระเบิดมาก ก่อนจะมีการส่งต่อเราต้องปลด Lock กระเป๋าที่จะส่งต่อทุกใบเพราะเขาคงเอาไปเข้าเครื่อง Scan ถ้าใบไหนน่าสงสัยก็จะได้เปิดตรวจได้ (คนไทยที่ชอบอัดของแน่นๆ เต็มกระเป๋าระวังให้ดีว่าถ้าเขาเกิดเปิดแล้วปิดไม่ลง เขาคงไม่ค่อยมีความพยายามปิดให้ดีๆ หรอก) เมื่อส่งกระเป๋าเสร็จแล้วต้องลากหรือถือกระเป๋า Hand Carry เดินไปอีก 3 Terminals เป็นของ United เขาบอกว่าใช้เวลาเดิน 10 นาที แต่น่าจะเป็น 20 นาทีมากกว่า และบอกว่ามีรถ Shuttle Bus มีคนด้านนอกซึ่งมายืนให้ข้อมูลบอกว่าต้องรอรถเบอร์ A แต่รออยู่เกิน 15 นาที เบอร์ A ก็ยังไม่เห็นมา เบอร์อื่นๆ มาตลอด ทั้งๆ ที่ Terminal United มองเห็นอยู่ลิบๆแต่รถเบอร์อื่นๆ ก็ผ่านมาแต่ไม่จอด สรุปแล้วก็เลยเดินดีกว่า พอถึงแล้วก็ไม่มีป้ายบอกว่าให้ไปขึ้นเครื่องบินชั้นไหน ต้องมีผู้หญิงสาวคนหนึ่งยืนบอกว่าต้องขึ้นชั้นบน บันไดเลื่อนก็ไม่ทำงาน ลิฟท์ก็ช้ามาก พอขึ้นไปได้ก็พบว่า Hall ที่ตรวจกระเป๋าเล็กมากคิวยาวจนออกไปถึงสะพานลอยข้ามทางด่วน พอตอนตรวจคนตรวจคนแรกแรกบอกว่าไม่ต้องถอดรองเท้าเข้าเครื่อง Scan แต่คนที่สองบอกว่าต้องถอด(โชคดีไม่มีคนที่ 3 บอกว่าให้ถอดกางเกงด้วย) นี่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่แต่จากประสบการณ์ที่กรุงเทพมหานคร London Tokyo และ Hong Kong เรื่องเหล่านี้เขาได้พัฒนาแก้ไขกันไปหมดแล้ว แต่ Los Angeles และ New York ยังเป็น Developing City อยู่
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ – ยกเครื่องความคิด
วันที่เขียน 02/02/2005 วันที่ตีพิมพ์ 02/02/2005
บันทึกบทความเมื่อ 13/07/2007 20:27:01 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 13/07/2007 20:27:01 โดย Narin