การออกกำลังกาย
ผมและพี่ชายฝาแฝดของผม คุณบุญชัย โชควัฒนา เป็นลูกคนที่ 9 และ 10 ของคุณพ่อและคุณแม่ ผมเป็นลูกคนสุดท้อง ผมและคุณบุญชัยเมื่อเปรียบเทียบความแข็งแรงของร่างกายกับพี่ๆ จะสู้พี่ๆไม่ได้ จึงเกิดข้อสันนิษฐานว่าคุณแม่ตอนให้กำเนิดผมและคุณบุญชัยท่านคงอายุมากแล้ว อายุราวๆ 33 ปีได้ซึ่งที่จริงอายุท่านยังไม่มากเท่าไรแต่เนื่องจากมีลูกมาก่อนหน้านี้แล้ว 8 คน สารแคลเซียมที่มีในร่างกายได้ให้กับลูกๆ ทั้ง 8 ไปมากแล้ว ผมอาจจะได้รับน้อยไปหน่อยเพราะสังเกตว่าพี่ๆของผม กระดูกใหญ่ ฟันไม่ผุง่ายเหมือนของผมและคุณบุญชัย หัวใจของผมก็เต้นเร็วกว่าพี่ๆ เบาหวานก็เป็นเหมือนกันทั้งคู่ แต่สิ่งที่ดีๆ ที่ผมได้จากคุณพ่อคุณแม่ก็คือ ท่านทั้งสองตอนที่มีผมอาจจะมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าตอนที่มีพี่ๆ ผมจึงอาจจะได้รับการถ่ายทอดความนึกคิดที่ดีๆ มามากกว่า และตอนนั้นฐานะของคุณพ่อและคุณแม่ก็ดีกว่าตอนหนุ่มสาว ทำให้ความคิดที่เป็นบวกในตัวผมและคุณบุญชัยน่าจะมีมากกว่าตั้งแต่ราวๆ อายุ 30 ปีต้นๆ ร่างกายของผมไม่ค่อยแข็งแรงแต่พอได้มาเล่นเทนนิส ก็ทำให้สุขภาพดีและแข็งแรงมากขึ้น ชีวิตก็ไม่เครียดเหมือนแต่ก่อน และหลังจากเล่นเทนนิสผ่านมาได้ 10 ปีก็หันมาเล่นกอลฟ์ ชีวิตก็ดีขึ้นอีก ร่างกายก็ดีขึ้นอีก แต่ก็ยังไม่วายที่จะไม่สบายเป็นครั้งเป็นคราว จนมาเมื่อปี 2540 ได้มาออกกำลังกายที่บางกอกคลับโดยการวิ่งบนสายพาน การวิ่งก็วิ่งในความเร็วหลายระดับ และให้เร็วพอจนหัวใจเต้นเร็วและสูงพอจนเป็น 75% ของอัตราสูงสุดตามอายุ ทำ 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 15 – 20 นาที ตั้งแต่นั้นมาผมยังไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่ออีกเลยมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว และร่างกายก็แข็งแรง ไม่มีอาการปวดเมื่อย ทำงานได้มากขึ้น การตัดสินใจก็ดีขึ้น มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น จึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคนที่เริ่มมีอายุสูงขึ้น เพราะจากตัวอย่างที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้น จะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างการออกกำลังกายได้ถึงระดับหนึ่งร่างกายจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกัน (Immunity) ขึ้นมามากพอทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนบางคนที่คิดลบก็มักจะมองว่า ถ้าวิ่งมากจะทำให้หัวเข่าเสีย เพราะหลายๆ คนก็พูดกันอย่างนั้น ผมจึงกำหนดจิตของผมว่า ผมจะวิ่งโดยไม่ให้หัวเข่าของผมเสีย จึงเกิดกุศโลบายในการวิ่งของผมขึ้นมาคือ
- ไม่วิ่งทุกวัน
- ไม่วิ่งนานเกินไป
- วิ่งก้าวสั้นบ้างยาวบ้าง
- รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้หนักเกินไป
- ถ้ารู้สึกเกิดอาการเจ็บ จะไม่ฝืนวิ่ง
- วิ่งโดยให้เท้าพ้นพื้นให้น้อยที่สุด และวิ่งเบาที่สุด
- วิ่งจากช้าไปหาเร็ว และวิ่งจากเร็วมาหาช้า
ผมเชื่อว่าถ้าวิ่งแบบที่วิธีที่ผมทำ ไม่น่าจะทำให้หัวเข่าเสียได้
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ – ยกเครื่องความคิด
วันที่เขียน 02/02/2005 วันที่ตีพิมพ์ 02/02/2005
บันทึกบทความเมื่อ 13/07/2007 20:05:45 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 13/07/2007 20:06:03 โดย Narin