Song Of My Life อัลบั้มแรกในชีวิตของศิลปินมือใหม่ บุญเกียรติ โชควัฒนา บิ๊กบอส ไอซีซี กรุ๊ป เผยแบ่ง ‘บุญชัย’ พี่ชายฝาแฝดร่วมร้อง 2 เพลง
เป็นซีอีโอที่ชอบร้องเพลงยามว่าง ว่าแล้ว 2 พี่น้อง แห่งตระกูล ‘โชควัฒนา’ จึงช่วยกันโชว์พลังปอดออกอัลบั้ม วางขายซีดี เคียงข้างสินค้าแบรนด์ดังในเครือ เพื่อมอบรายได้ให้การกุศล ได้บุญทั้งคนร้องและคนฟัง
เปิดตัวด้วยคอนเสิร์ต Brother 2 in Concert ฉลองวันเกิด 60 ปี ของ บุญเกียรติ และพี่ชายฝาแฝด บุญชัย โชควัฒนา ที่โรงละคร M Theatre (โรงละครกรุงเทพเดิม) อันเป็นการจัดงานภายใน (เฉพาะพนักงานในเครือก็เกิน 700 คน ซึ่งเป็นความจุของโรงละครแล้ว) ไม่ได้บอกกล่าวสื่อมวลชน ด้วยเหตุผลที่บุญเกียรติบอกว่า “ผมไม่ได้อยากดังนะ ถ้านักข่าวมาเยอะแยะ เดี๋ยวคนจะคิดว่าเราเป็นคนอยากซ่า อยากดังอีก ผมไม่มุ่งมั่นที่จะดัง ถ้าให้ข่าวเกี่ยวกับบริษัท ผมยินดี แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เอา ไม่ชอบ”
แต่งานนั้นก็สามารถนำเงินมอบให้การกุศลนับล้านบาท จึงนำมาสู่อัลบั้มเพลง Song Of My Life Vol.1 อัลบั้มแรกในชีวิตที่ไม่ต้องมีสังกัดค่ายเพลงของศิลปินมือใหม่ บุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการผู้จัดการของบริษัทไอซีซีกรุ๊ป กับการคัฟเวอร์เพลงป๊อปคลาสสิก ที่เป็นเพลงในความทรงจำตั้งแต่วัยรุ่น ยุค 50s-60s โดยมี รศ.ดวงใจ อมาตยกุล รับหน้าที่โปรดิวเซอร์
ทั้งหมดนี้ เป็นกระบวนการที่ลงมือ ร้องจริง และทำจริง ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกเพลง การติดต่อซื้อลิขสิทธิ์เพลง และการบันทึกเสียงร้องจนกระทั่งผลงานออกมาเป็นที่ภาคภูมิใจ วางขายคู่กับสินค้าแบรนด์ต่างๆ ในเครือของไอซีซี อาทิ วาโก้ ลาคอส กีลาโรช ฯลฯ เพราะเจ้าของอัลบั้มอยากให้คนทั่วไป “ได้ฟังเพลงและร่วมทำบุญด้วยกัน”
ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร CEO คิดบวกมีคำตอบ พร้อมข้อมูลสนับสนุนจาก ลูกจัน-จันทร์จิรา จันทร์โฉม อดีตมิสไทยเลนด์ยูนิเวิร์สปี 2546 ที่รับหน้าที่เป็นโปรเจคต์เมเนจเจอร์งานเพลงอัลบั้มนี้
@อัลบั้ม Song of My Life Vol.1 ออกมาสักพักใหญ่แล้วใช่ไหม
ล็อตแรกทำมา ขายหมดไปพันแผ่นละ (หัวเราะ) เวลาไปบรรยายที่ไหนก็ติดมือไปด้วย เพราะเราไม่รับค่าตัวแต่ให้ซื้อซีดีเพลง (แผ่นละ 500 บาทแทน) ต้องบอกว่าเป็นการทำบุญหมดไปหนึ่งพันแผ่นแล้ว เพราะรายได้จากการขายทั้งหมดมอบให้กองทุนอาจารย์ดื้อ (เมคอัพ อาร์ติสท์ คนเก่าคนแก่ของบริษัทไอซีซีกรุ๊ปส์ ซึ่งเสียชีวิตเมื่อสองปีก่อน)
@มีแผนจะวางแผงอัลบั้ม Song of My Life Vol.2 ด้วย
คงอีกสักพัก ตอนนี้อยากโปรโมทชุดแรกก่อนนะ เป็นงานการกุศลจริงๆ เราไม่ได้ทำเพื่อธุรกิจ ถ้าบริษัทเราทำแผ่นซีดีเพลงของผมขาย คงเรียบร้อยไปนานแล้ว (หัวเราะ) เพราะงั้นงานนี้ทำเพื่อกุศล ให้คนมีงานด้วย
@บรรยากาศการทำงานเพลงสนุกไหม
มันมากเลย ทุกคนทีมงานมันกันมาก คนไทยกับเพลงนี่ มันเป็นคู่กันจริงๆ ผมชวนคุณบุญชัย (พี่ชายฝาแฝด) มาร่วมทำคอนเสิร์ต The Brothers2 เขานึกว่าจะร้องแค่สองสามเพลง แต่ไม่ใช่ ผมบอกว่าเราต้องร้องควบคู่กันไป คราวนี้เขาก็คอยจับจ้องว่า ผมจะร้องมาก (เพลง) กว่าเขารึเปล่า (หัวเราะ)
@มีเพลงที่คุณบุญชัยกับคุณบุญเกียรติชอบเหมือนกัน อยากร้องเพลงเดียวกันบ้างไหม
ความจริงผมร้องคล่องกว่าเขานะ แต่เพลงที่เขาอยากร้อง เราก็ปล่อยให้เขาร้อง เดี๋ยวหาว่าเรากันท่าเขา (หัวเราะ) ผมร้องในคอนเสิร์ต 15 เพลง คุณบุญชัยเขาร้องประมาณ 12 เพลง เขาก็บอกว่า “อื้ม น้อยไปๆ” (ฮา) เขาก็มาบอกว่า เพลงนี้ขอร้องสองคนนะ เขาก็ได้ร้องเพลงจำนวนมากขึ้น ก็ไม่เป็นไร ผมไม่เจตนาที่ร้องคนเดียวอยู่แล้ว แต่ในอัลบั้มผมให้เขาร้อง 2 เพลง (Perhaps Love และ Now and Forever) เพราะอัลบั้มนี้ผมลงทุนเอง (ยิ้ม)
@พอจะบอก Production Cost ได้ไหม เผื่อมีคนสนใจอยากทำบ้าง
จะทำตาม หรือจะทำแข่งกับผม(ยิ้ม) ถ้าทำแข่งขอบอกนะว่าสู้ไม่ได้หรอก (หัวเราะ) สำหรับ Production Cost ค่าตัวนักร้องไม่ได้คิดนะ ค่าห้องอัด ค่านักดนตรี ผมออกเงินส่วนตัวเอง รวมค่าลิขสิทธิ์เพลงแล้วรวมๆ ก็ 5 แสนบาท
@การขอลิขสิทธิ์เพลงเหล่านี้ลำบากไหม
(ลูกจัน ช่วยตอบ) โชคดีนะที่เรามีอินเตอร์เน็ตยุคนี้ ติดต่อได้รวดเร็ว ใช้เวลาทั้งหมดรวมๆ 3 เดือน ตั้งแต่เริ่มติดต่อจนถึงได้รับการตอบรับและขั้นจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ ความยากมันจะอยู่ที่บางเพลง มีคนถือลิขสิทธิ์หลายคน คือเพลงๆ เดียว มีคนนั้นถือไว้ 15% อีกรายถือ 25% ประมาณนั้น เราก็ต้องไปตามมาให้ครบ ไปจัดการติดต่อเอง (คุณบุญเกียรติ) ส่วนที่ยากกว่าคือตอนที่มาผ่านกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เมืองไทย เพราะต้องแปลจดหมาย เอกสารสัญญาอะไรต่างๆ ต้องจ้างคนแปลภาษาอังกฤษ-ไทยให้ถูกแบบที่เขาทำนะ เนี่ยมันยากลำบาก หลายขั้นตอน แต่เราอยากทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ยากหน่อยก็ไม่เป็นไร ถ้าทำผิดกฎหมาย เอาเพลงมาอัดเลยก็อาจจะไม่ยุ่งหลายขั้นตอนขนาดนี้
@เพลงพวกนี้ร้องยากไหมคะ
เมื่อก่อนผมจะไม่ค่อยมั่นใจเกี่ยวกับจังหวะ ผมคิดว่าชาติก่อนเป็นคนคุมวงออร์เคสตรา และอาจจะทำกรรมดุลูกศิษย์มากเกินไป ชาตินี้เลยจังหวะผิดตลอด เราไม่มั่นใจเลย แต่หลังจากได้ฝึกมาตั้งนาน เดี๋ยวนี้มั่นใจขึ้น คนอื่นๆ แค่ฟังนับจังหวะ หนึ่งสองสามสี่ เขาก็ร้อง (เพลง) ได้แล้ว แต่เรากลับร้องไม่ได้ สงสัยโดนแช่งมาจากชาติก่อน (หัวเราะ) แต่อัลบั้มนี้มั่นใจว่าเราร้องได้ดีนะ
@ปกติคุณบุญเกียรติร้องเพลงเป็นงานอดิเรกหรือเปล่า
จะร้องเวลาขับรถ เวลาอาบน้ำ สมัยนี้มีทีวีแล้ว จะดูทีวีซะมากกว่า เราไม่ไปร้องเพลงแข่งกับทีวีหรอกนะ และเราไม่ค่อยชอบฟังเพลงด้วย ชอบร้องอย่างเดียว และจะร้องเวลาขับรถ แต่เดี๋ยวนี้เวลาอยู่ในรถก็ไม่ร้องแล้ว เพราะต้องการอยู่กับความเงียบ ใช้ความคิด ทบทวนตัวเองมากกว่า แต่ความสามารถการร้องเพลงก็ยังอยู่ และพอมาร้องเพลงลงแผ่นนี่ มันพัฒนาความเข้าใจเรื่องเพลงของเรานะ มันละเอียดอ่อนมาก คือการร้องเพลงให้เพราะหรือไม่เพราะนี่ ร่างกาย และจิตใจก็สำคัญ เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ นี่ ต้องละเอียด การใช้ปาก การขยับลิ้นยังไง การออกเสียง ให้เป็นสำเนียงฝรั่งยังไง ไม่งั้นจะออกมาเป็นไทยสไตล์ บังเอิญว่าผมมี sense ทางนี้ก็เลยร้องออกมาได้สำเนียงฝรั่ง ไม่ดูหน้าไม่รู้หรอกว่าเป็นคนไทย (หัวเราะ) ผมโม้เก่งไหม (หัวเราะร่วน) พอเข้าห้องอัดเสียงและได้รู้ว่าตัวเองมีความสามารถร้องเพลงแบบนี้ รู้สึกเสียดายไหม ว่าน่าจะเริ่มต้นทำเพลงเร็วกว่านี้ พอดีผมเป็นคนไม่เคยเสียดาย คิดว่าได้ร้องตอนนี้ก็บุญแล้ว ไม่เคยเสียดายอะไรที่ทำไปทุกอย่าง หรืออะไรที่เราไม่ได้ทำ นี่คือมาตรฐานความคิดของเขา ผมไม่ชอบเสียดาย
@เห็นบอกว่า สภาพจิตใจมีผลต่อการร้องเพลง และได้ศึกษาเรื่องจิตใต้สำนึกมาด้วย
ผมได้เรียนเรื่องจิตใต้สำนึก กับอาจารย์อมรา ตันสมบูรณ์ และตอนจะจบคอร์ส แกชวนร้องเพลง If We Hold On Together ผมไม่เคยรู้จักเพลงนี้มาก่อน แต่พอได้ฟังและอ่านเนื้อหาตามชีต ก็ชอบมากเลย เพลงเพราะเนื้อหาดี เหมือนเพลงของไมเคิล แจ็คสัน Heal the World ผมชอบ มาฝึกร้องตั้งหลายเดือน (เหตุที่นานเพราะลืม) สมัยก่อนจำได้ง่ายมาก แต่ตอนนี้ (หลัง 60 ปี) ลืมง่ายมาก กลับไปกลับมา จำเนื้อเพลงไม่ค่อยได้ ต้องท่องแล้วท่องอีก
@การเป็นนักธุรกิจภาคกลางวัน กับเป็นศิลปิน (อัดเสียง) ภาคกลางคืน ลำบากหรือเปล่า
ผมไม่ได้เป็นนักร้องคาเฟ่นี่ครับ (หัวเราะ) เป็นการร้องเพลงอย่างมีเป้าหมาย เพื่อออกอัลบั้มสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเอง แต่ตอนนั้นก็เพลียเหมือนกัน กว่าจะได้นอนก็ดึกดื่น เสียงแหบเสียงแห้ง อันที่จริงนักธุรกิจร้องเพลงออกอัลบั้มก็มีหลายคนนะ แต่รุ่นแก่ๆ อย่างเราไม่ค่อยมี ทำงานทั้งวันก็เหนื่อยและบางคนคิดว่าแก่แล้วเสียงไม่ดี ก็เลยไม่ทำ ความจริงเสียงคนไม่เปลี่ยนนะ เสียงดียังไงตอนหนุ่มตอนแก่ก็ดีอย่างนั้น เสียงคนแก่ช้านะ และการคิดบวกสำคัญ สามารถทำได้ทุกอย่าง และผมก็ไม่เห็นจะมีปัญหากับการทำงานนะ มีบางคนทักว่า เอ๊ะ เอาเวลางานไปร้องเพลงหรือเปล่า ผมตอบว่า ผมร้องเวลาเลิกงานแล้วนะครับ
@แต่มันก็ต้องการความฟิตของร่างกายมากใช่ไหม
ร้องไม่กี่วันอ่ะ แค่สามเดือนเอง ผมฟิตอยู่แล้ว ผมออกกำลังกายบ่อยมาก เพราะฉะนั้นปอดผมแข็งแรงกว่าสิบกว่าปีก่อนอีก ผมวิ่งทุกวัน ปอดแข็งแรงกว่าสมัยอายุน้อยๆ อีก สมัยนั้นทั้งสูบบุหรี่ ออกกำลังกายน้อย ตอนนี้ท้าวัยรุ่นวิ่งแข่งได้เลยนะ (หัวเราะ)
@มีคำแนะนำสำหรับคนรุ่นหลัง ในการทำงานไหม
อันที่หนึ่ง คนเราควรมีจิตคิดเป็นกุศล เราคิดหาจุดเด่นของตัวเอง และควรเอาจุดเด่นนั้นไปทำอะไรเพื่อช่วยคนอื่น นั่นคือการทำบุญ และช่วยทำนุบำรุงศาสนา ช่วยคนยากไร้ อย่าคิดถึงความมั่งคั่งของตัวเองอย่างเดียว ขอให้คิดถึงสังคม ประเทศชาติด้วย
ที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Section “จุดประกาย” คอลัมน์ “Life Style:Life” วันที่ 14 กันยายน 2552
บันทึกบทความเมื่อ 17/09/2009 09:32:00 โดย narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 17/09/2009 09:32:00 โดย narin