รถยนต์เป็นสาเหตุหลักของโลกร้อน
ในเดือนที่ผ่านมาผมได้กล่าวถึงปัญหาโลกร้อน สาเหตุที่ทำให้โลกร้อน และวิธีที่จะช่วยลดปัญหาโลกร้อนซึ่งผมเชื่อว่าปัญหาหลักเกิดจากการใช้รถยนต์ของชาวโลก ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นตลอดระยะเวลา 30 – 40 ปีที่ผ่านมา และในช่วงเวลาดังกล่าวเรื่องโลกร้อนไม่มีใครกล่าวถึงให้ชาวโลกรู้เรื่องมาก่อนเพราะนักวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนและมั่นใจว่าโลกกำลังร้อนขึ้นเพราะเกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ที่ลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศและยังไม่เห็นผลเสียที่เกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ว่ามีผลกระทบต่อความสมดุลย์ของธรรมชาติมากขนาดนั้น แต่ในปัจจุบันผลกระทบนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์มีวิธีค้นคว้าทดสอบและสรุปผลได้แม่นยำและชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความตื่นตัวอย่างมากในระดับนานาชาติ แต่เนื่องจากผลกระทบจากโลกร้อนเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ความตื่นตัวของชาวโลกก็เกิดขึ้นอย่างช้าๆ และวิธีแก้ไขก็เป็นไปอย่างช้าๆ หรือจะเรียกว่าไม่มากพอและไม่ทันต่อเหตุ และเนื่องจากปัญหาโลกร้อนเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ใช้พลังงานจากน้ำมันเพื่อความสะดวกสบายของตนเองมากเกินไป ตัวอย่างเช่นการที่เราขับรถยนต์ที่มีน้ำหนักประมาณ 1,500 – 2,000 กิโลกรัม (1.5 – 2.0 เมตริกตัน) เพื่อจะพาตัวเราซึ่งน้ำหนักตั้งแต่ 50 – 80 กิโลกรัมเพื่อไปช้อปปิ้ง เราต้องใช้พลังงานน้ำมันขับเคลื่อนน้ำหนัก 1.5 – 2.0 ตันไปพร้อมๆ กับเราด้วย คิดดูแล้วไม่ค่อยมีความเหมาะสมหรือมีเหตุผลเท่าไร
จากการที่ผมเป็นคนที่อ่านหนังสือหรือสเปคของรถยนต์ใหม่ๆ เป็นประจำพบว่าเดี๋ยวนี้สเปคของรถยนต์จะแสดงจำนวนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อกิโลเมตรที่รถวิ่งไป ซึ่งรถเล็กที่ประหยัดน้ำมันยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศถึง 120 กรัมต่อกิโลเมตรที่รถวิ่ง ฉะนั้นเราสามารถประมาณว่ารถยนต์ใหญ่หรือรถบรรทุกหรือรถประจำทางน่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมากกว่า
สมมติเราประมาณว่ารถยนต์ 1 คันโดยทั่วไปปล่อยก๊าซ CO2 สู่ชั้นบรรยากาศ 200 กรัมต่อกิโลเมตรที่รถวิ่ง และสมมติว่าประเทศไทยมีรถทุกชนิดรวมกันวิ่งใน 1 วัน 1 ล้านคันและแต่ละคันวิ่ง 10 กิโลเมตร รถยนต์ในประเทศไทยจะปล่อย CO2 สู่ชั้นบรรยากาศ = 1,000,000 x 10 x 0.200 = 2,000,000 กิโลกรัมต่อวัน หรือ 2,000 เมตริกตันต่อวันสู่ชั้นบรรยากาศ และถ้าเราคิดถึง 365 วันเราก็จะปล่อยก๊าซ CO2 สู่ชั้นบรรยากาศปีละ 730,000 เมตริกตันต่อปีสู่ชั้นบรรยากาศ และถ้าเราประมาณต่อไปอีกว่าในโลกเรามีรถวิ่งวันละ 10 กิโลเมตรต่อวันถึง 100 ล้านคัน รถยนต์ทั่วโลกก็จะปล่อยก๊าซ CO2 ถึงปีละ 73,000,000 เมตริกตันต่อปี ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่สมมติขึ้นมา ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ไม่ผิดจากความเป็นจริงไปมาก แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าน้ำหนักของก๊าซจำนวนดังกล่าวน่าจะมีผลกระทบต่อเรื่องโลกร้อนได้
หลายคนอาจจะโต้แย้งว่าต้นไม้ใบหญ้าก็ช่วยดูดก๊าซ CO2 ในตอนกลางวันแต่ก็อย่าลืมว่าตอนกลางคืนต้นไม้ก็ปล่อยก๊าซ CO2 เหมือนกันและยังมีการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งทำให้มีต้นไม้น้อยลง และมีก๊าซ CO2 ที่มนุษย์ปล่อยออกมาจากลมหายใจและจาก ลมหายใจของสัตว์และมูลสัตว์อีกด้วย
มาตราการหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้มากก็คือการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถยนต์มาเป็นการขี่จักรยาน ซึ่งในประเทศตะวันตกเริ่มทำกันมากขึ้นมาก แต่คนไทยไม่ว่าจะจนหรือรวยมักรู้สึกว่าการขี่จักรยานเป็นการเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี ทำให้คนเป็นจำนวนมากอ้างว่ากลัวอันตราย หรือกลัวจะสูดก๊าซจากท่อไอเสียรถยนต์ทำให้ไม่ยอมขี่จักรยาน แต่ผมเชื่อว่าถ้ามีความตั้งใจที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนก็น่าจะหาที่ๆ ไม่มีรถจอแจมากหรืออากาศดีพอใช้ได้แล้วเปลี่ยนพฤติกรรมหรือความเคยชินของตนเองมาขี่จักรยานได้ รถสามล้อในกรุงเทพในอดีตก็มีอยู่และถูกทดแทนโดยรถตุ๊กตุ๊กที่ใช้น้ำมันและห้ามรถสามล้อขี่บริการผู้โดยสารในกรุงเทพฯ ซึ่งก็น่าจะกลับมาทบทวนได้แล้ว จะสามารถเพิ่มอาชีพให้กับคนได้อีกมากแล้วยังลดปัญหาโลกร้อนได้อีกด้วย ในกรุงนิวยอร์คขณะนี้มีฝรั่งขี่รถจักรยานสามล้อรับผู้โดยสารมาก และยังได้ค่าโดยสารมากกว่า Taxi อีกด้วย คนส่งเอกสารในกรุงนิวยอร์คก็ใช้จักรยานส่งเอกสารกันอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ซึ่งคนที่ส่งเอกสารด้วยจักรยานและคนขี่สามล้อก็จะรู้สึกภูมิใจว่าตัวเองเป็นผู้รักษาสภาพแวดล้อมของโลก และเป็นคนที่ไม่สร้างปัญหาโลกร้อนให้กับโลก และถือเป็นผู้ที่เราทุกคนให้เกียรติและพร้อมที่จะยกย่อง และสร้างกระแสให้คนอื่นๆ อยากจะทำตาม ทั้งนี้รวมถึงการสร้างวินจักรยานแทนวินมอเตอร์ไซด์ด้วย
ที่มา นสพ. กรุงเทพธุรกิจ : คอลัมน์ 20 CEOs 20 IDEAs
วันที่เขียน 01/12/2007 วันที่ตีพิมพ์ 15/10/2008
บันทึกบทความเมื่อ 15/10/2008 08:59:04 โดย Narin
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 15/10/2008 08:59:04 โดย Narin