เรื่องเกี่ยวข้องกับการคิดบวก
ทำอย่างคนคิดบวก
วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 นักธุรกิจเกือบทุกคนคงจำได้ว่าเป็นวันโศกนาฏกรรมทางการเงินของประเทศไทย เป็นวิกฤตการณ์ที่นักธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมพร้อมและไม่เคยประสบมาก่อน คือ การลดค่าเงินบาท หรือการปล่อยให้เงินลอยตัว หรือบางคนอาจจะมีความกังวลว่าอยากจะคืนเงินดอลลาร์ก่อนเหมือนกันแต่ก็ไม่รู้ว่าจะคืนอย่างไรเพราะเอาเงินไปใช้ผิดประเภทเสียแล้ว ธนาคารไทยก็คงไม่ให้กู้เงินง่าย ๆ เร็ว ๆ เพื่อจะไปคืนดอลลาร์ และถ้าจะทำ Forward Cover ก็ไม่แน่ใจว่า ดอลลาร์จะขึ้นหรือจะลง ค่า ก็แพงมาก
สรุปแล้วเจ็บตัวกันค่อนข้างจะถ้วนหน้า
แต่ก็คงมีคนจำนวนหนึ่งที่ทำให้วิกฤตของประเทศเป็นโอกาสของตนเองไปบ้างไม่มากก็น้อย บริษัทในเครือสหพัฒน์ก็กู้เงินนอกอยู่ แต่ผมไม่ทราบว่าจำนวนเท่าไรเพราะไม่ได้รับผิดชอบทางด้านการเงิน แต่รู้สึกว่าคงไม่มากและพอมาตรวจเช็คดูจริง ๆ เข้าก็พบว่าในเครือก็กู้ไม่มากเมื่อเทียบกับเครืออื่น ๆ เพราะบริษัทในเครือสหพัฒน์ส่วนใหญ่ค่อนข้างพิถีพิถันในการจ่ายเงินไม่ฟุ่มเฟือย และทำธุรกิจที่นักธุรกิจยุคใหม่หลาย ๆ ท่าน มองว่าเป็นธุรกิจแบบอนุรักษ์นิยม คือไม่หวือหวา และไม่เสี่ยงใช้ความขยันขันแข็งมากกว่าเน้นการลงทุน หนี้สินในเครือจึงไม่ได้โตขึ้นมากเป็นเท่าตัวเหมือนบริษัทอื่นหลาย ๆ บริษัทในช่วงเงินบาทลองตัว
แต่สิ่งที่กระทบเครือสหพัฒน์ก็คือ รัฐบาลสั่งคนไทยรัดเข็มขัด คนไทยซึ่งในขณะนั้นอยู่ในภาวะความหวาดกลัวว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ส่วนใหญ่คิดว่าคงหนักลงไปอีก ก็เลยชะลอการใช้เงิน บวกกับหลาย ๆ คนก็ตกงานอย่างกะทันหันหลาย ๆ คนถอนเงินออมออกมาไม่ทันเพราะสถาบันทางการเงินถูกปิดไปเสียก่อนและมีนักวิชาการหลาย ๆ ท่านออกมาทำนายว่าเงินบาทจะตกลง ๆ ๆไปอีก
ยอดขายของ ICC ก็หล่นลงจากตัวเลขประมาณหมื่นล้านในปี 2539 เหลือประมาณ 7000 ล้านบาท ในปี 2540 พนักงานของ ICC ขณะนั้นก็มีประมาณ 8000 กว่าคน
ผมในขณะนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้นำของ ICC ก็ต้องถามตัวเองในสถานการณ์อย่างนี้ เราจะต้องคิดอย่างไร คำตอบคืออย่าไร คำตอบของผมก็คือ ในขณะวิกฤตการณ์เช่นนี้ทุกคนลำบากก็จริง แต่เป็นเวลาที่เราจะสามารถใช้ในการพัฒนาตนเอง พัฒนาองค์กรพัฒนาระบบได้ดีที่สุด และเราก็โชคดีกว่าคนอื่น และถ้าวิกฤตสิ้นสุดลงเราก็จะแข็งแกร่งขึ้น ถ้าเปรียบบริษัทเป็นผู้ชายก็เป็นผู้ชายหุ่นงาม ล่ำบึ้ก ยอดขายของ ICC จะดีขึ้นทุก ๆ ปีตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
ในช่วงนั้นข่าวต่าง ๆ ที่ออกมามีแต่ข่าวไม่ดี ผมก็พูดกับนักข่าวหนังสือพิมพ์หลาย ๆ ฉบับว่า ถ้าเห็นข่าวดีช่วยเขียน ๆ กันบ้างอย่ามัวแต่ไปสัมภาษณ์คนที่คิดลบซึ่งจะได้แต่ข่าวไม่ดี ๆ มาเขียน และตลอด 6 ปีที่ผ่านมา นักข่าวถามว่า “ผลประกอบการของ ICC ดีขึ้นหรือไม่” ผมก็ตอบว่า “ดีขึ้น ๆ” นักข่าวจึงถามต่ออีกว่า “มีปัญหาอะไรหนักใจไหม” ผมก็บอกว่า “มีบ้างแต่ก็แก้ได้หมด”
ในปี 2544 4 ปีหลังวิกฤตการณ์ เครือสหพัฒน์
ก็มียอดขายแซงปี 2539 และมีกำไรแซงปี 2539 อีกด้วย
ผมเชื่อว่าพลังความคิดบวกของผมน่าจะมีส่วนช่วยให้เครือสหพัฒต์กลับมาสู่สภาวะปกติได้เร็วกว่าไม่มากก็น้อย แต่ไม่ใช่ว่าคิดอย่างเดียว ทุก ๆ อย่างก็จะดีขึ้นได้ แต่การที่เราคิดก็เหมือนกับเราปรารถนา(Wish) และถ้าเราปรารถนาบ่อย ๆ คิดบ่อย ๆ เราต้องอยากจะทำให้ความปรารถนาของเราเป็นจริง ความพยายามในการทำงานให้ได้ผลตามที่เราปรารถนาจะมีมาก ๆ อย่างไม่เคยคิดว่าตนเองจะมีได้ ทำได้
และยังถามตนเองอีกว่า เราจะสามารถแก้สถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไรโดยไม่ต้องหวังให้คนอื่นมาช่วยนั้นต้องทำอย่างไร หรือต้องคิดอะไรกันบ้าง คำตอบที่ได้ก็คือ
- สมองต้องโปร่ง ไม่กลัว(Clear Mind an No far)
- คิดบวก (Positive Thinking)
- สุขภาพแข็งแรง (Goog Health)
- มีความมั่นใจ (Confidence)
และถ้าจะทำให้สินค้าขายดีขึ้นต้องทำอย่างไร คำตอบที่ได้ก็คือ
- ต้องใกล้ชิด เข้าใจผู้บริโภค (Be Close & Understand Your Consumers)
- มีความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรม (Creative & Innovatieve)
- ตอบสนองกับปัญหาเร็วขึ้นมาก ๆ (Quick Response)
- ติดตามงานดีขึ้น ถี่ขึ้น (Follow – up)
- ความสามัคคีของทีมงาน (Unity)
- ความทุ่มเท (Devotion)
- ช่วยคนที่ลำบาก (Help other who are in difficulties)
- ทำงานหนักขึ้น (Work Harder)
ผมได้ทำสิ่งเหล่านี้มาเป็นเวลา 6 ปีและทำอย่างคนคิดบวก ปลุกใจตนเองและพรรณนาพวกของผมโดยตลอดด้วยคำว่า ไม่กลัว ไม่เหนื่อย ไม่ท้อ ไม่มีปัญหา ไม่เครียด ไม่ยาก
ไม่กลัว ไม่เหนื่อย ไม่ท้อ
ไม่มีปัญหา ไม่เครียด ไม่ยาก
วันที่เขียน 02/02/2005 วันที่ตีพิมพ์ 02/02/2005
บันทึกบทความเมื่อ 13/07/2006 โดย webmaster
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 13/07/2006 โดย webmaster