ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความเชื่อในเรื่องชาติภพมาตั้งแต่เล็ก โดยไม่รู้ว่าเชื่อมาได้อย่างไร น่าจะเป็นสิ่งที่ผมเชื่อมาตั้งแต่อดีตชาติ และหลังจากที่ได้พบกับ อ.กฤษณา สุยะมงคล ผมเริ่มสนใจเรื่องกฎแห่งกรรมมากขึ้น และเพราะนับถือศาสนาพุทธ จึงมีพื้นฐานความเชื่อเรื่องกรรมอยู่แล้ว
หลังจากที่ได้ใช้เวลาไตร่ตรองทำความเข้าใจ ทำให้ผมยิ่งลึกซึ้งเข้าไปอีก เกิดความสนใจมากขึ้น ๆ เช่น ถ้าเราทำกรรมอะไรไว้ในอดีตชาติ เราก็ได้รับผลกรรมนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว
หลาย ๆ คนก็มีความเข้าใจในเรื่องนี้ แต่ขาดความใส่ใจในการคิดพิจารณาอย่างมีสติ ซึ่งกรรมที่ไม่ดี ๆ ต่าง ๆ ก็มีอยู่หลัก ๆ แค่ 5 ข้อ ซึ่งก็คือศีล 5 นั่นเอง
บางคนเมื่อทำผิดศีลข้อหนึ่งข้อใดก็แค่บอกว่าข้อนี้เราทำไม่ได้ หรือบางคนอาจไม่ได้ใส่ใจว่าผิดศีลหรือไม่ หรือบางคนพอทำไม่ได้ข้อหนึ่ง ก็เลยพลอยไม่สนใจที่จะทำให้ถูกศีลในข้ออื่นๆ ทางที่ถูกแล้วเราต้องรู้อยู่ตลอดเวลาว่า เรามีศีลอยู่กี่ข้อ ถึงแม้จะมีไม่ครบก็ตาม
แต่ให้ค่อย ๆ คิดไปเรื่อย ๆ ว่าเราจะทำให้ครบได้อย่างไร อย่าใช้แบบภาษิตไทยที่ว่า ตกกระไดพลอยโจน คือทำไม่ได้ข้อหนึ่งเลยถือโอกาสไม่ทำข้ออื่น ๆ ไปเลย
การพยายามรักษาศีลให้ครบเหมือนเป็นการต่อสู้กับกิเลสตัณหา โลภ โกรธ หลง
พระพุทธองค์ได้ทรงให้อาวุธกับเราไว้ในการต่อสู้ก็คือ สติสัมปชัญญะ นั่นเอง
ถ้าพิจารณาศีล 5 อย่างตั้งใจและเข้าใจก็คือ พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราไม่เบียดเบียนทั้งคนและสัตว์ และหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ทำแล้วจะทำให้เกิดโอกาสในการที่จะต้องไปเบียดเบียนผู้อื่นหรือเกิดการก่อกรรมชั่ว
ศีลข้อหนึ่ง คือ การไม่ฆ่าสัตว์ ซึ่งก็คือการเบียดเบียนชีวิตโดยตรง
ศีลข้อสอง คือ การไม่ลักขโมย ซึ่งก็คือการเบียดเบียนผู้อื่นโดยตรง
ศีลข้อสาม คือ การไม่ประพฤติผิดในกาม ซึ่งเป็นข้อที่เน้นการป้องกันความบาดหมางซึ่งเกิดจากความหึงหวง
อันเป็นต้นเหตุของการเบียดเบียน
ศีลข้อที่สี่ คือ การไม่พูดโกหก หรือการไม่พูดสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือเกิดความเข้าใจผิด ซึ่งก็เป็นการป้องกันการเบียดเบียน
ศีลข้อที่ห้า คือ การไม่ให้ดื่มของมึนเมา ซึ่งก็เป็นการป้องกันไม่ให้คนขาดสติจากการดื่มของมึนเมา เป็นสาเหตุของการประมาทและการเบียดเบียนกัน
ผมได้เรียนรู้คำว่า สมาทานศีล จากพระอาจารย์ภาสกร ภาวิไล ซึ่งท่านได้อธิบายไว้ดีว่า
คนที่รักษาศีล 5 โอกาสจะตกนรกมีน้อยกว่าคนที่ไม่รักษาศีล
เพราะศีล 5 เป็นสิ่งที่คนถือจริง ๆ จะไม่ทำบาป ส่วนคนไม่ถือหรือถือไม่ครบมีโอกาสทำบาปมากกว่า จึงเป็นเหตุทำให้มีโอกาสตกนรกได้มากกว่า
ก่อนรู้จักพระอาจารย์ภาสกร ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สมาทาน แปลว่าอะไร
ตอนนี้รู้แล้ว แปลว่า รับเอามาปฏิบัติ
และได้สมาทานศีลตั้งแต่นั้นมาตลอด และสิ่งที่พระอาจารย์ภาสกรสอนไว้ก็คือ คนส่วนใหญ่เวลาถือไม่ครบก็กลายเป็นไม่สนใจเรื่องศีลไปเลย พระอาจารย์ภาสกรสอนว่า คนที่ถือศีลก่อนตายจะไม่ตกนรก ฉะนั้นคนที่สมาทานศีลแล้วก็เท่ากับมีศีลครบ ถ้าเกิดอุบัติเหตุให้ตายอย่างกะทันหันก็จะไม่ต้องไปใช้วิบากกรรมก่อนเพราะถือศีลครบหลังจากสมาทานศีล
ฉะนั้นเมื่อทำผิดศีลข้อหนึ่งข้อใดก็ให้สมาทานศีลหลังจากนั้นทันที ก็เท่ากับเรามีศีลครบ การสมาทานศีลเป็นประจำจะทำให้เราระลึกได้ว่าเรากำลังจะทำผิดศีลอีกแล้ว นาน ๆ เข้าการทำผิดศีลก็จะน้อยลง ๆ หรือถือศีลครบในที่สุด
นี่จึงเป็นกุศโลบายของพระสงฆ์ ที่ก่อนสวดมนต์ต้องอาราธนาศีลก่อน