ผมได้ฟังธรรมหรือสนทนาธรรมมาก็หลายครั้ง ผู้มาบรรยายธรรมบางครั้งก็เป็นพระสงฆ์ บางครั้งก็เป็นฆราวาส หลาย ๆ ครั้งผมรู้สึกว่าสิ่งที่บรรยายนั้นดีมาก สมควรที่ผู้ฟังน่าจะเอาไปใช้หรือถ่ายทอดต่อเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น พอใกล้จบการบรรยาย ผู้บรรยายบางคนก็บอกว่าอย่าเชื่อผม หรืออย่าเชื่ออาตมา หรือไม่ก็อย่าเชื่อที่ผมพูด แต่ก็มิได้อธิบายว่าไม่ให้เชื่อเพราะอะไร และมีผู้บรรยายที่เป็นฆราวาสท่านหนึ่งซึ่งบรรยายได้ดีมาก แต่ตอนจบพูดว่าอย่าเชื่อผม ต้องไปพิสูจน์เอง
พอดีท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งต้องเน้นเรื่องการพิสูจน์
สิ่งที่ท่านบอกให้ผู้ฟังไปพิสูจน์ คือ สวรรค์-นรกมีจริงหรือไม่
อย่าเชื่อท่าน และยังบอกว่าถ้าจะพิสูจน์ให้รู้จริงต้องปฏิบัติจนบรรลุฌานสี่เสียก่อน จึงจะได้เห็นว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่
ผมเลยตั้งข้อสังเกตว่า ท่านเหล่านี้ต้องได้รู้เรื่อง กาลามสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล ในสมัยพุทธกาลว่า อย่าเชื่อ 10 ประการ ดังนี้
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยตรรกะ
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอนุมาน
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
เพราะชาวกาลามะคงมีคนมาหลอกให้เชื่ออะไร ๆ ที่งมงายมาก ผมเลยสันนิษฐานว่าท่านเหล่านี้ลืมพิจารณาว่าพระพุทธองค์สอนอย่างนี้เพราะอะไร หรือไม่ก็ปากหนักลืมอธิบายว่าพระพุทธองค์ทรงสอนอย่างนั้นเพราะอะไร ซึ่งสอดคล้องกับคนสมัยนี้ที่เชื่อว่า ทุกอย่างต้องพิสูจน์ได้ถึงจะเชื่อ หรือไม่เชื่ออะไรสักอย่างเพราะกลัวถูกหลอก หรือวัยรุ่นบางจำพวกที่ไม่เชื่อใครเลยนอกจากตัวเอง เป็นต้น
ส่วนตัวผมเข้าใจว่าพระพุทธองค์ต้องการสอนให้มนุษย์ใช้ปัญญาพิจารณาว่าควรจะเอาไปใช้เป็นประโยชน์ หรือเอามาปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ซึ่งคนสมัยนี้ถนัดแต่การใช้ข้อมูล เชื่อข้อมูลจนขาดการใช้ปัญญา จึงทำให้คนรุ่นใหม่สมัยนี้เข้าใจอะไรช้ากว่าเดิม เพราะทุกอย่างต้องหาข้อมูลก่อน แต่ใช้ความคิดพิจารณาน้อย และบางครั้งก็ใช้ข้อมูลโดยขาดการไตร่ตรองว่าข้อมูลนั้นเหมาะสมและถูกต้องหรือไม่
กลายเป็นบรรทัดฐานของคนสมัยนี้ก็คือทำอะไรต้องมีข้อมูล