ก่อนที่ผมจะมาถึงวันนี้ได้ ชีวิตครอบครัวก็ต้องพบอุปสรรคทางใจมามาก ซึ่งเกิดจากเหตุหลาย ๆ ประการ ทั้งภายในและภายนอก เหตุภายในส่วนมากมักจะเป็นเรื่องอุปนิสัยของแต่ละบุคคล ซึ่งต่างคนต่างก็มีแตกต่างทางด้านค่านิยมและความเคยชินตั้งแต่เด็ก วันนี้ผมมองไปถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งส่งต่อมาจากอดีตชาติ รวมถึงบุพกรรมต่าง ๆ ซึ่งทำให้เราต้องมาพบกันและมาใช้ชีวิตด้วยกันในชาตินี้ ทั้งเรื่องทุกข์และเรื่องสุข
ถ้าเราสังเกตให้ดี ๆ เราจะพบว่าคนแต่ละคนก็มีความเหมือนและความต่างในด้านความคิด และการกระทำกันแทบทุกคน ซึ่งผมเชื่อว่าน่าจะเกิดจากจริตของนิสัยที่สั่งสมมาในแต่ละชาติ
พอผมคิดได้เช่นนี้ว่า สิ่งที่เราต้องประสบวิบากกรรมในชาตินี้ก็น่าจะเกิดจากวิบากที่เราทำกับเขาไว้ในชาติที่แล้ว ถ้าคิดได้เช่นนี้ก็จะทำให้เราจะไม่ยึดติดกับอัตตาของเรา และสามารถลดทิฐิในจิตของตัวเองลงได้
ส่วนตัวนั้น ผมเป็นคนที่มีเหตุมีผล และมีการพิจารณาในเชิงตรรกะในแทบทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่เป็นกิเลส ยังต้องหาเหตุว่าทำไมเราต้องมีกิเลสในข้อนั้น ๆ ด้วย
เวลามีอารมณ์ ก็ต้องอธิบายว่าทำไมเราต้องเกิดอารมณ์เหล่านั้นด้วย และเดี๋ยวนี้ก็อธิบายได้เกือบหมดทุกเรื่องแล้ว และยังสามารถอธิบายว่าคู่ของเราทำไมเกิดอารมณ์บางอย่างที่เราไม่เกิด
ข้ออธิบายก็คือ บุพกรรม ซึ่งหมายถึงกรรมที่ทำมาในอดีตชาตินั้นไม่ได้มาเหมือนกัน
บางคนชอบตั้งคำถามว่า ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้อย่างนั้น ถ้าเป็นเรา เราไม่มีวันทำอะไรอย่างนี้อย่างนั้นได้หรอก คนเหล่านี้ชอบถาม แต่มักไม่มีคำตอบ
มีแต่คำว่า…แปลกใจจังเลย
ผมตอบคนพวกนี้อย่างง่าย ๆ แบบกำปั้นทุบดินว่า
…เพราะเขาไม่เหมือนเรา
พูดในเรื่องกฎแห่งกรรมก็คือ บุพกรรมมาไม่เหมือนกัน
ฉะนั้นในการครองเรือนให้มีความสุข การยอมรับในอัตตาของคู่ครองของเราที่หลาย ๆ ข้ออาจไม่เหมือนกับอัตตาของเรานั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะทำให้ชีวิตคู่มีความสุขมากขึ้น
และถ้าเราสามารถลดอัตตาของเราลงแม้แต่เพียงฝ่ายเดียว ก็ยิ่งทำให้ชีวิตคู่มีความสุขยิ่งขึ้นไปอีก
และถ้าสิ่งไหนที่เราไม่ชอบ ก็ให้อภัยต่อสิ่งนั้น แล้วอธิษฐานว่าเราจะไม่พบกับสิ่งนั้นอีกในชาติหน้า และแผ่เมตตากับสิ่งที่เราไม่ชอบนั้นด้วย
ที่กล่าวมาทั้งหมดต่างมีหลักเดียวกัน คือ การละวางสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ได้เร็ว ที่พระพุทธองค์ทรงสอนเรามาตลอด