กลยุทธ์การตลาดเกี่ยวกับ Demand & Supply
ในประเทศโลกเสรี การตลาดคือการสร้างการบริโภคที่มากขึ้นในสินค้าที่มีการทำการตลาด แต่ถ้าไม่มีการทำการตลาด การบริโภคก็ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) แต่นักการตลาดที่เข้าใจผู้บริโภคก็ต้องสนใจเรื่อง Demand & Supply ด้วย เพราะสินค้าบางอย่างที่มี Demand และ Supply น้อยๆ ถ้าผลิตสินค้านั้นมากไปก็ขายหมด ถ้าสินค้าอย่างไหนที่มีความต้องการตลาดน้อยแต่มีผู้ผลิตมาก ก็ต้องมีการแข่งขันกันมากเพื่อแย่งชิงลูกค้าหรือผู้บริโภค ใครทำการตลาดได้ดีก็จะได้ลูกค้าหรือผู้บริโภคไปมาก ในภาวะปัจจุบันเป็นช่วงที่มี Supply มากกว่า Demand เป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือผู้ที่มีความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพทัดเทียมกันนั้นมีมาก และมีกำลังการผลิตมากเมื่อเทียบกับคนที่จะซื้อเอาไปใช้ ฉะนั้นผู้ประกอบการก็จะต้องสร้าง
- สร้างกระแสความนิยมใหม่ (Create Fashion)
- สร้างการใช้ในปริมาณที่สูงขึ้น (Create more Consumption)
- สร้างความต้องการเกินความจำเป็น (Create Artificial Demand)
1) การสร้างกระแสความนิยมใหม่ (Create Fashion) คือการสร้างให้เกิดความต้องการโดยความรู้สึกหรืออารมณ์ หรืออยากมี อยากได้ เพราะผู้อื่นที่ตนเองชื่นชอบใช้ มีตัวอย่างคือ
ตัวอย่างที่ 1 เสื้อผ้าสีใหม่ที่กำลังฮิต, Design ที่กำลังฮิต ซึ่งนักการตลาดก็จะต้องทำให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและหา Presenter ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายด้วย
ตัวอย่างที่ 2 ทรงผมที่กำลังฮิต, เจลใส่ผมที่ใส่แล้วผมชี้สูงเป็นพิเศษ, การย้อมสีผม, สีผมใหม่ที่คนกำลังฮิต, การยืดผม, การดัดผม อย่างเช่นในปัจจุบันจะนิยมให้ผู้หญิงผมสั้นลง นักสร้างกระแสก็ต้องทำให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่ผู้หญิงทำงานมากขึ้น มีเวลาแต่งตัวน้อยลงผมสั้นก็จะได้เปรียบผมยาว
ตัวอย่างที่ 3 โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันก็ต้องสร้างกระแสให้ทุกคนต้องมีเพราะความสะดวก รูปแบบก็ต้องดูดีสอดคล้องกับรสนิยมของกลุ่มเป้าหมายคือวัยรุ่น ราคาก็ต้องถูกลงเพราะวัยรุ่นไม่มีเงินซื้อแพง แต่ผ่อนส่งโดยการคุยกันนานๆ และยังต้องมี Function ต่าง ๆ ที่โดนใจวัยรุ่น เช่น Load เพลงได้, SMS ได้เพราะวัยรุ่นส่วนใหญ่อยู่ในวัยชอบสื่อสารกุ๊กกิ๊ก และอื่นๆ อีกหลายๆ Function เหล่านี้เป็นฝีมือของผู้ประกอบการที่ต้องเข้าใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย และถ้ามีผู้ประกอบการหลายเจ้าแข่งขันกันอยู่ ก็อยู่ที่เจ้าไหนจะจับจุดความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้แม่นกว่ากัน และสามารถพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องหรือตรงกับความต้องการของผู้บริโภค กลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า และมีประสิทธิภาพประสิทธิผลแค่ไหนที่จะได้รับความนิยม และในขณะเดียวกันก็สามารถทำต้นทุนให้ต่ำได้ด้วย และถ้าปริมาณการซื้อของผู้บริโภคมีมากพอก็จะทำให้ผู้ประกอบการมีผลกำไรและมีการพัฒนาสินค้าต่อไปได้ และสามารถส่งเสริมการขายสินค้ามากขึ้นไปอีก
2) การสร้างให้ผู้ซื้อใช้มากขึ้น (Create more Consumption) นักการตลาดต้องสร้างเงื่อนไขให้บริโภคมากขึ้น
- โดยการทำขวดหรือห่อให้ใหญ่ขึ้น หรือขายแต่ขวดใหญ่ ไม่ขายขวดเล็กเมื่อลูกค้าซื้อขวดหรือห่อใหญ่ก็มีแนวโน้มที่จะบริโภคมากขึ้น
- ทำปากขวดให้ใหญ่ขึ้น เพื่อเขาจะมีแนวโน้มที่จะเทมากขึ้นกว่าปากขวดเล็ก
- ระบุปริมาณการใช้แต่ละครั้งให้สูงไว้ก่อน
- ปรับสูตรให้อ่อนลงทำให้ใช้ได้บ่อยๆ หรือทุกวัน แต่ราคาคงเดิม
- ทำให้เสียหรือสึกหรอเร็วขึ้น โดยลูกค้าไม่รู้สึก
- ทำให้เสียแล้วซ่อมไม่ได้ต้องเปลี่ยนไปเลย
3) การสร้างความต้องการเกินจำเป็น (Create Artificial Demand) นักการตลาดต้องสร้างให้ผู้ใช้อยากได้สินค้า ถึงแม้บางครั้งอาจจะมีอยู่แล้ว
- ทำให้ราคาสินค้าดึงดูดใจจนอยากซื้อจำนวนมากขึ้น
- สินค้าที่นำเสนอแล้วทำให้อยากซื้อไปฝากผู้อื่น
- สินค้าที่แสดงสถานะทางสังคมที่ดีขึ้น
- สร้างให้สินค้ามีโอกาสการใช้ที่แตกต่างๆ กัน เช่น รองเท้ากลางวัน รองเท้ากลางคืน รองเท้าไปเที่ยว
- สร้างความหลากหลายมากพอที่จะทำให้ผู้บริโภคอยากซื้อมากกว่า 1 ชิ้น
- กำหนดการซื้อต่อครั้งให้มากขึ้น โดยการให้ส่วนลด ของแถม ชิงโชค เป็นต้น
- จัดให้สามารถซื้อแบบผ่อนส่งได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ – บทความการตลาด
วันที่เขียน 02/02/2005 วันที่ตีพิมพ์ 02/02/2005
บันทึกบทความเมื่อ 13/07/2006 โดย webmaster
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อ 13/07/2006 โดย webmaster